การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่ทุกธุรกิจจะต้องปรับตัว ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุค Digital ที่ทุกวันนี้เทคโนโลยีเข้ามามีอิทธิพลมากกว่าที่เราคิด ตื่นนอนมาเราทุกคนต้องเปิดสมาร์ทโฟนเสพข่าวสารผ่านอินเตอร์เน็ตทั้งสิ้น หรือแม้กระทั่งจะสั่งอาหาร จองคิวร้านอาหารก็ยังสามารถทำผ่านสมาร์ทโฟนได้อย่างสะดวกสบาย สิ่งเหล่านี้เข้ามาทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ธุรกิจต่างๆ ต้องเริ่มปรับตัวให้ทันกับผู้บริโภค ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ใครๆ ต่างก็มองว่าเป็นธุรกิจที่ไม่ตื่นเต้นเท่าวงการอื่นๆ การตลาดมีเพียงแค่จัด Event หรือขึ้นป้ายบิลบอร์ดคงต้องกลับมามองกันใหม่ เพราะในวันนี้ยักษ์ใหญ่ในวงการอสังหาฯ ต่างก็เริ่มปรับตัวให้ทันกับยุค Digital กันแล้ว เช่น “อนันดา” ที่ได้ชื่อว่าเป็น Tech Company รายแรกของวงการด้วยการเปิดตัว Ananda Urban Tech เพื่อเฟ้นหานวัตกรรมใหม่ๆ และร่วมลงทุนด้านนวัตกรรมกับกองทุนต่างๆทั่วโลก หรือ “แสนสิริ” ที่จับมือกับ “SCB” ก่อตั้ง Siri Venture เพื่อวิจัยและลงทุน สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ (Property Technology) หรือแม้แต่การออกบูธโดยใช้ Virtual 360 มาช่วยในการเยี่ยมชมห้องตัวอย่าง นั่นก็ถือเป็นนวัตกรรมของวงการอสังหาฯ อย่างหนึ่งเช่นกัน

         สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด เราเรียกรวมๆ ว่า Property Technology หรือ Prop Tech ที่ใช้ Digital เข้ามาช่วยอำ นวยความสะดวกให้แก่ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ ให้การเลือกซื้อ การใช้ชีวิตภายในบ้าน/ คอนโด การติดต่อโครงการ ฯลฯ เป็นไปได้ง่ายขึ้น ต่อไปในอนาคตการทำการตลาดแบบเดิมๆ ก็จะเริ่มหายไป ป้ายบิลบอร์ดที่ได้แค่มองเห็นแต่ไม่เกิดการรับรู้สารก็จะค่อยๆเริ่มหายไป ผู้คนจะใช้เวลาเสพข่าวสารที่สั้นลง การเข้ามาของ Digital จะทำ ให้การซื้ออสังหาฯ เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น แต่หลายๆอย่างก็ต้องถูกปรับเปลี่ยนตามพฤติกรรมของผู้คน ซึ่ง HINT จะขออธิบายว่า Digital เข้ามาช่วยในแต่ละขั้นตอนการซื้อไปจนถึงการเข้าอยู่อย่างไร


         1. การค้นหาข้อมูลและเปรียบเทียบโครงการ 
         - 48% ของคนไทยค้นหาข้อมูลทาง internet ก่อนซื้อ จากสถิติพบว่าคนไทย 48% มีพฤติกรรมค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตก่อนดูของจริง ต่างจากเมื่อก่อนที่หากลูกค้าสนใจจะตรงดิ่งไปที่ร้านค้าเลย หากเทียบเป็นอสังหาริมทรัพย์แต่เดิมลูกค้าจะเข้าไปที่โครงการ หรือหากขับรถผ่านก็จะแวะเข้าไป ปัจจุบันลูกค้าจะหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตก่อนเข้าไปดูโครงการ นั่นแปลว่าเมื่อลูกค้าไปถึงโครงการคุณแล้ว พวกเขามักจะมีข้อมูลที่พร้อมในระดับหนึ่ง ดังนั้นคงพอจะเดาทางได้แล้วว่าหากจะให้ข้อมูลกับลูกค้า ควรจะเน้นไปทางสื่อใดมากกว่ากัน

         - Blogger/ Influencer ตัวช่วยให้ปิดการขายง่ายขึ้น นอกจากการค้นหาข้อมูลจากทางเว็บไซต์ต่างๆ แล้ว อีกสื่อหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือบรรดา Blogger และ Influencer ที่เข้ามามีบทบาทในการช่วย “ตัดสินใจซื้อ” ของลูกค้ามากขึ้น สิ่งเหล่านี้เรามักจะพบเห็นในรูปแบบของการรีวิว, เยี่ยมชมโครงการ, บทวิเคราะห์ต่างๆ ที่จะทำให้ลูกค้าอ่านแล้วตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น ทุกวันนี้คนเชื่อข้อมูลจากบุคคลที่ 3 มากกว่าเชื่อข้อมูลจากโครงการเอง การ
อ่านรีวิวเป็นเหมือนการตอกย้ำ ความมั่นใจว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ
         - 360 Virtual Tours/ Virtual Reality ของเล่นใหม่ในวงการอสังหา นาทีนี้ใครไม่รู้จักของเล่นใหม่ในโลก Digital อย่าง 360 VR ที่ได้นำมาปรับใช้กับวงการอสังหาฯอย่างลงตัว ด้วยการเยี่ยมชมโครงการ/ ห้องตัวอย่าง โดยไม่ต้องไปสถานที่จริงเลย เพียงแค่มีกล้อง VR 1 ตัวเท่านั้น ก็ได้เห็นภาพของโครงการ/ ห้องตัวอย่างแทบทุกมุม ถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ช่วยสร้างความสะดวกสบาย ให้กับผู้ซื้อที่ไม่มีเวลาไปชมห้องตัวอย่าง ช่วยร่นระยะเวลาการตัดสินใจซื้อ

         2. การตัดสินใจซื้อ
         - หมดยุคยกหูโทรศัพท์นัดชมโครงการ ต่อจากนี้การนัดหมายเข้าชมโครงการไม่จำ เป็นต้องโทรแจ้งให้เปลืองค่าโทรศัพท์หรือเสียเวลาหลายนาทีอีกต่อไปหลายโครงการเริ่มนำ Application หรือนัดหมายผ่าน Website มาใช้สำ หรับนัดหมายเข้าเยี่ยมชมโครงการ ที่จะเป็นประโยชน์ทั้งแก่ฝั่งโครงการเองที่สามารถจัดสรรเวลาได้อย่างแม่นยำและฝั่งลูกค้าก็ไม่ต้องเสียเวลาโทรไปนัด จบปัญหาสายไม่ว่างบ้าง โทรไม่ติดบ้าง หลังเลิกงานไม่มีคนรับสาย ฯลฯ
         - อยู่บ้านก็วางเงินจองได้หากวันนี้คุณคิดจะกลับไปจองบ้านที่ดูไว้เมื่อวันก่อน ไม่ต้องเสียเวลาขับรถไปถึงโครงการอีกต่อไป เพียงแค่เปิด Application เปิด Facebook หรือเปิดหน้า Website พร้อมกรอกเลขแปลง/ เลขห้องที่เราสนใจ ชำ ระเงินจองออนไลน์เพียงเท่านี้ก็ประหยัดเวลาในการเดินทางไปโครงการได้แล้ว ซึ่งเจ้าแรกที่ริเริ่ม “ช้อป-จอง-จ่ายออนไลน์” เป็นเจ้าแรกคือ ”พฤกษา” ที่ได้เริ่มใช้นวัตกรรมนี้มาตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว จนในวันนี้เริ่มมีดีเวลลอปเปอร์บางรายเริ่มใช้วิธีนี้เพื่ออำ นวยความสะดวกให้ผู้ซื้อมากขึ้น
         - ไม่ต้องต่อคิวในธนาคารอีกต่อไป เป็นที่คุ้นเคยกันดีกับการจ่ายเงินออนไลน์ผ่าน Application ที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้ซื้อได้เป็นอย่างดีหมดปัญหาธนาคารคนเยอะ ปิดเร็ว หา ATM ไม่ได้นอกจากนี้ยังรวมไปถึงผู้ที่ต้องการตรวจสอบกำลังการกู้เบื้องต้น ทุกวันนี้ในหน้า Website ของธนาคารจะมีส่วนที่ให้กรอกข้อมูลเพื่อตรวจสอบสินเชื่อเบื้องต้น และคำ นวณทั้งดอกเบี้ยและค่างวดให้เสร็จสรรพไม่จำ เป็นต้องเดินทางไปถึงธนาคาร ต่อคิวยาวเป็น100 คิว หรือโทรหาพนักงาน ที่ต้องโอนสายมากกว่า 3 ครั้ง

         3. หลังการเข้าอยู่
         - สื่อสารกับนิติฯและลูกบ้านได้ง่ายขึ้น ตอนนี้นิติบุคคลหลายโครงการเริ่มออก Application สำหรับแจ้งข่าวสารให้กับลูกบ้าน ซึ่งจะสามารถส่งข่าวได้ทั่วถึงมากขึ้น หรือเป็นช่องทางสำ หรับส่งข้อความ (message) หานิติฯโดยตรง ช่วยประหยัดเวลาให้กับทั้ง 2 ฝ่าย
         - แจ้งซ่อมออนไลน์ สบายทั้งโครงการและคนซื้อหลายโครงการมักจะมีปัญหากับการแจ้งซ่อมหลังเข้าอยู่ ไม่ว่าจะเป็นช่างไม่มาตามนัด โทรไปไม่มีคนรับนัดวันไม่ลงตัว ฯลฯ ทำ ให้โครงการอสังหาริมทรัพย์หลายรายหันมาใช้การแจ้งซ่อมออนไลน์ เพื่อที่จะสามารถจัดคิวช่างได้เหมาะสมตรงกับงานมากที่สุด
         - ใช้ชีวิตอย่าง Iron Man ในบ้านอัจฉริยะ อีกหนึ่งนวัตกรรมที่จะทำ ให้เสมือนมีจาวิสอยู่ในบ้านของคุณด้วยระบบอัจฉริยะหรือ Smart Home ที่สามารถควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้ด้วยเพียงปลายนิ้วมือและสมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะสั่งให้เปิดปิดน้ำ ไฟ หรือปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ หรือแม้กระทั่งให้เครื่องใช้ไฟฟ้าคุยกับเราผ่าน Chat เช่น ถามตู้เย็นว่าเหลือเบียร์กี่กระป๋อง, บอกเครื่องดูดฝุ่นให้ทำความสะอาดบ้านเมื่อคุณไม่อยู่ หรือโทรทัศน์ถามคุณว่าไม่อยู่บ้านแล้วต้องการปิดทีวีไหม? นี่คือสุดยอดนวัตกรรมจาก LG HomeChat

          เทคโนโลยีในยุค Digital ยังมีอีกมากนักที่จะเข้ามามีบทบาทที่สำ คัญทั้งทางฝั่งดีเวลลอปเปอร์และกับลูกค้า ซึ่งจะช่วยอำ นวยความสะดวก แก้ปัญหาในสิ่งที่ manual ไม่สามารถทำ ได้ และในระยะยาวก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปในบางส่วนได้ ซึ่ง HINT เองก็เชื่อว่านับจากนี้ไปกลยุทธ์การขายของอสังหาฯจะเริ่มเปลี่ยนไป ทั้งนี้คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ดีเวลลอปเปอร์แต่ละเจ้าจะงัดลูกเล่นอะไรออกมาเล่นให้เป็นสีสันของตลาดอสังหาริมทรัพย์กันต่อไป และเมื่อดูความพร้อมของประเทศไทยที่กำ ลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิตอลนั้น เห็นได้ว่าประเทศไทยเองก็มีการเติบโตที่เร็วพอตัว ยิ่งหากเทียบกับประเทศที่อยู่ใน Asia Pacific แล้ว ไทยเองก็อยู่ใน Top 5 มาตลอด ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเราวัดความพร้อมของดิจิตอลเป็น 2 ด้าน คือ Average Connection Speed และ Broadband Adoption ซึ่งไทยเองก็อยู่อันดับ Top 10 ของโลกและ Top 5 ของ Asia Pacific

ขอบคุณข้อมูลจาก: HINT MAGAZINE