เมื่อ COVID-19 ผ่านพ้น โลกจะเปลี่ยนไปเช่นไร
การแพร่ระบาดของ COVID-19 นั้นได้สั่นคลอนความเป็นอยู่ของผู้คนทั่วโลก ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไรต่างได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ทั้งสิ้น ตลอดสามเดือนที่ผ่านมาเราได้เห็นพัฒนาการของโรคที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การเมือง และ สังคม
เราได้เห็นสายการบินที่ต้องจอดเครื่องบินเต็มลานจอด ได้เห็นโรงแรมไร้ซึ่งนักท่องเที่ยว ถนนว่างเปล่าจากมาตรการเคอร์ฟิว ผู้คนตกงานจำนวนมาก หลังมีมาตรการเข้มงวดเพื่อไม่ให้เกิดการรวมกลุ่มของผู้คน
ทั้งหมดนี้กำลังจะทำให้โฉมหน้าของโลกเปลี่ยนไป หลังจาก COVID-19 ผ่านพ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ซึ่งนักวิเคราะห์จากเว็บไซต์ Future Platform ได้สรุปออกมาเป็นหัวข้อที่น่าสนใจ และเรานำมาเรียบเรียงในบรรทัดต่อจากนี้
COVID-19 เปลี่ยนเศรษฐกิจโลก
ถึงเวลานี้ต่อให้คุณไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ก็คงมองออกว่า สภาพเศรษฐกิจทั่วโลกก้าวเข้าสู่ภาวะถดถอย หลังวิกฤตไวรัสครั้งนี้ผ่านพ้นอย่างแน่นอน จำนวนคนตกงานจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะธุรกิจหลายประเภทไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากต้องอาศัยความน่าเชื่อถือ และความเชื่อมั่นจากผู้บริโภค
โดยสองธุรกิจแรกที่เรียกได้ว่าเคยสร้างความคึกคักทางเศรษฐกิจให้กับโลกใบนี้อย่าง ธุรกิจการบิน และ ธุรกิจท่องเที่ยว จะเป็นสองธุรกิจแรกที่ต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยง และนั่นส่งผลต่อเนื่องต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงแรม ผู้ประกอบการร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ รถบริการสาธารณะ
การเข้าสู่ภาวะถดถอยเช่นนี้ทำให้ รัฐบาลในหลายประเทศรวมไปถึงประเทศไทย ต้องวางแผนทางเศรษฐกิจและการเงินเพื่อรับมืออย่างเร่งด่วน ซึ่งเราก็จะได้เห็นตัวเลขที่รัฐบาลแต่ละประเทศประกาศออกมาในระดับล้านล้าน เพื่อพยุงเศรษฐกิจภายในของตนเอง
COVID-19 จะทำให้โลกนี้มีพรมแดน
ในทางการเมืองนั้น การแพร่ระบาดของโรค ทำให้เห็นว่า แต่ละประเทศพยายามจะช่วยเหลือตัวเองและพลเมืองของตนเองให้มากที่สุด และป้องกันเขตแดนของตนเองเพื่อไม่ให้โรคระบาดแพร่เข้ามา ซึ่งนับเป็นการแสดงออกจากความรู้สึกภายในของ แต่ละประเทศที่ไม่เคยไว้วางใจกัน และ อาจทำให้ความสัมพันธ์ทางการเมืองของโลกหลังจบ COVID19 อาจหมายถึงการพึ่งพาตนเองภายในประเทศมากขึ้น และ พยายามดูแลพลเมืองของตนเอง มากกว่า การพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศ หรือ องค์กรระหว่างประเทศ
COVID-19 ทำให้คนในสังคมมองเห็นตัวจริงของกันและกัน
ผลกระทบทางสังคม นั้น COVID-19 ทำให้คนในสังคมทั่วโลกได้เห็นว่า “เรารับมือได้กับภาวะวิกฤต” แม้ว่าจะมีคนดีไม่ดีปนกันอยู่ในสภาวะการณ์เช่นนี้ แต่บทเรียนจาก COVID-19 จะเป็นบทเรียนสำคัญ สำหรับคนทุกเจอเนอเรชั่น ที่จะได้เรียนรู้การเสียสละของบุคลากรทางการแพทย์ การต่อสู้ของภาครัฐเพื่อทำให้สังคมที่พวกเขาอยู่นั้นรอดจากไวรัส ที่ทำลายคนทั่วโลก และ ได้เห็นความมีน้ำใจของคนในสังคมที่มอบให้กันในยามเกิดวิกฤต
ขณะเดียวกันเราจะได้เห็นความเห็นแก่ตัวของคนบางกลุ่มที่หวังจะให้ตนเองอยู่รอด แต่หารู้ไม่ว่าหากอยู่รอดเพียงคนเดียว ครอบครัวเดียว หรือ บริษัทเดียว ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะทั้งสังคมต้องรอดไปด้วยกัน
จีนจะกลายเป็นพี่ใหญ่ของโลกใบนี้
ขณะเดียวกันเราจะได้เห็น จีน กลายเป็นชาติที่ทรงอำนาจหลัง COVID-19 เพราะนอกจากจะเป็นชาติแรกที่มีรายงานผู้ติดเชื้อแต่จีน ก็เป็นชาติแรกเช่นกันที่สามารถรักษาคนในประเทศตัวเองให้หายได้
แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของจีนที่สามารถรับปัญหาที่ทั่วโลกกำลังเผชิญได้เป็นอย่างดี และทั่วโลกก็ใช้โมเดลเดียวกับจีนในการแก้ปัญหา COVID-19 ภายในประเทศของตนเอง ซึ่งทำให้จีนดูมีความน่าเชื่อถือต่างไปจากสหรัฐอเมริกาที่ผู้นำมีศักยภาพสู้กับผู้นำของจีนไม่ได้
นอกจากนี้การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นไปทั่วโลก อาจหมายถึงทางออกในการรักษาสภาวะแวดล้อมของโลกใบนี้ เพราะในช่วงเวลาตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเมษายน ทำให้เห็นว่า แท้จริงแล้วผู้คนไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่า ปัจจัยสี่
ช่วงเวลาของการฟื้นฟู และ การกลับคืนสู่ถิ่นฐานเดิม
เมื่อโลกกลับสู่สถานการณ์ปกติ ประสบการณ์ของคนที่อยู่ต่างถิ่นกับโรคระบาดที่เกิดขึ้นจะทำให้พวกเขาคิดถึงการกลับคืนสู่ถิ่นฐานบ้านเกิดกันมากขึ้น และ จะเป็นช่วงเวลาที่เราจะได้เห็นคนกลับคืนสู่ถิ่นกำเนิด เพื่อใช้ชีวิตในประเทศของตนเอง เพราะในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตนั้นคนที่อยู่ต่างถิ่นได้รับรู้ถึงความโดดเดี่ยวอันน่ากลัว
เมื่อสถานการณ์กลับคืนสู่ช่วงเวลาปกติ การกลับคืนสู่ถิ่นฐานบ้านเกิดจึงเป็นทางเลือกแรกๆที่พวกเขาจะทำ เมื่อมีการกลับคืนสู่ถิ่นกำเนิด ภาครัฐคือตัวแปรสำคัญที่จะทำให้เกิดความเท่าเทียมกันระหว่างเมือง และการฟื้นฟูที่ภาครัฐต้องเตรียมให้พร้อมคือ การพัฒนาระบบสาธารณสุขในท้องถิ่น ระบบขนส่ง การส่งเสริมธุรกิจท้องถิ่น และกระจายอำนาจการปกครอง เพื่อให้เกิดอิสระในการทำงานมากขึ้น
SOURCE :www.tonkit360.com