เปิด 4 ไลฟ์สไตล์ความลักซ์ชัวรีในบริบทใหม่-อัปเดตพฤติกรรมซื้อบ้านปี 2025 จากงาน TERRAHINT Brand Series 2024
เมื่อบริบทสังคมเปลี่ยนไป การตีนิยามของความหรูหราจึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และยิ่งเมื่อโลกให้ความสำคัญกับความสิ่งแวดล้อม “ความหรูหรา” กับ “ความยั่งยืน” จะมาบรรจบกันได้อย่างไร
เวียนมาบรรจบอีกครั้ง ที่ต้องมาเช็คอินกันปีละครั้ง สำหรับงาน TerraHint Brand Series ที่ปีนี้จัดขึ้นในชื่อ TERRAHINT Brand Series 2024 “Luxury is a necessity in the sustainability era” #ชีวิตติดแกลม เจาะกลยุทธ์การพัฒนาแบรนด์สู่ความลักซ์ชัวรี พร้อมเผยผลวิจัย THE MOST POWERFUL BRAND IN REAL ESTATE 2024
and Consumer Insight : The Sense of Luxury and Design for Wellbeing สะท้อนมุมมองการพัฒนาแบรนด์สู่ความลักซ์ชัวรี ตอบโจทย์ยุคแห่งความยั่งยืน
สุมิตรา วงภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด กล่าวว่า งานสัมมนา TERRAHINT BRAND SERIES เป็นงานสัมมนาใหญ่ที่เว็ปไซต์ TerraBKK.com ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 7 แล้ว โดยปีนี้มาในคอนเซปต์ TERRAHINT Brand Series 2024 “Luxury is a necessity in the sustainability era” #ชีวิตติดแกลม เจาะกลยุทธ์การพัฒนาแบรนด์สู่ความลักซ์ชัวรี ตอบโจทย์ยุคแห่งความยั่งยืน จากวิทยากรชั้นนำทั้งในไทยและต่างประเทศร่วมสัมมนา เพื่อเปิดมุมมองใหม่ด้านการสร้างแบรนด์ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้ขึ้นสู่ความลักซ์ชัวรี และตอบโจทย์ยุคแห่งความยั่งยืน
ปีนี้เปิดเวทีสัมมนา ด้วยหัวข้อ “Sustainability Development in Real Estate : Challenges, Opportunities, and the Future for Thailand. เจาะแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอสังหาริมทรัพย์ : ความท้าทาย โอกาส และอนาคตสำหรับประเทศไทย” โดย Dr. Kevin Cheong, Former Commercial (Sales) Director, Sentosa Development Corporation
ตามด้วยวงเสวนา “Is Luxury A Necessity In The Sustainability Era? ยุคแห่งความยั่งยืน ความหรูหราเป็นสิ่งจำเป็นหรือไม่?” โดย Jee Hoong Tan , Hotel Manager Sindhorn Kempinski, จตุพร วงษ์ทอง ผู้ก่อตั้ง Artslonga และนายนภนิศ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ ผู้บริหารกลุ่มงานสร้างสรรค์ประสบการณ์และกลยุทธ์โครงการ บริษัท สยามพิวรรธน์ จํากัด ดำเนินตลอดรายการโดย นายนภพัฒน์จักษ์ อัตตนนท์ บรรณาธิการบริหาร WorkpointTODAY
ต่อด้วยการบรรยายเดี่ยวหัวข้อ “Innovation for Sustainable Living นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน” โดย นายขยล ตันติชาติวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เมทเธียร์ จำกัด (Metthier)
สำหรับผลวิจัย THE MOST POWERFUL BRAND IN REAL ESTATE 2024 and Consumer Insight : The Sense of Luxury and Design for Wellbeing มาจากผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 2,500 คน ส่วนใหญ่ 80% อาศัยในกรุงเทพฯและปริมณฑล และอีก 20% อาศัยในต่างจังหวัด
4 บริบทใหม่ของความหรูหรา ไม่ได้จำกันอยู่ที่ความร่ำรวย
ทั้งนี้ประเด็นที่น่าสนใจจากผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด พบว่าส่วนใหญ่ตีตวามคำว่า "Luxury" ที่นอกเหนือจากความหรูหรา ความร่ำรวย สู่บริบทใหม่ที่บ่งบอกถึงคุณภาพ, ความสมบูรณ์แบบ, ความพิเศษโดดเด่น, ความพิถีพิถัน และความสะดวกสบาย สามารถแบ่งกลุ่มจากไลฟ์สไตล์และทัศนคติ ออกเป็น 4 กลุ่ม คือ
1. กลุ่ม High - End Image จะให้ความสำคัญกับประสบการณ์ใช้ชีวิตหรูหรา รวมถึงการใช้สินค้าแบรนด์เนม ที่บ่งบอกถึงความสมดุลระหว่างความสวยงามภาพลักษณ์และการใช้งานในชีวิตประจำวัน และยอมจ่ายเพิ่ม เพื่อความเป็นส่วนตัว ความสะดวกสบายจากเทคโนโลยีและส่วนกลางที่ครบครัน โดยยอมเพิ่มเงิน ประมาณ 10-20%
2. กลุ่ม Connoisseur มองว่า “Luxury” คือ ความพิเศษ, ความสมบูรณ์แบบที่บ่งบอกถึงความสำเร็จ เป็นกลุ่มที่มองหาสินค้าที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ในอนาคต เช่น สินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือประสบการณ์ที่หรูหรา เช่น การใช้บริการโรงแรมระดับ 5 ดาว และยอมจ่ายเพิ่มกับเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อความสะดวกสบายประมาณ 10-30% พร้อมให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับเรื่องความเป็นส่วนตัว ที่สามารถเพิ่มเงินได้สูงถึง 40%
3. กลุ่ม Quiet Luxury มองว่า “Luxury” คือ ความเรียบง่ายและคุณภาพที่ยั่งยืน โดยชอบสินค้าคุณภาพสูง แต่ไม่เน้นแบรนด์หรูหรา ที่ใช้งานได้จริง เป็นกลุ่มที่มองหาสินค้าที่สามารถใช้งานได้ในระยะยาวและมีคุณค่าทางจิตใจ โดยยอมจ่ายเพิ่มเพื่อความเป็นส่วนตัวและนวัตกรรมเพื่อการประหยัดพลังงานประมาณ 10-20% และปฏิเสธในการจ่ายเพิ่มเพื่อดีไซน์และความหรูหราที่ดูฟุ่มเฟือย
4. กลุ่ม Chic Innovator มองว่า “Luxury” คือการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่และแสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเอง ชอบสินค้าแบรนด์หรูหรา สินค้าหายาก และเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด พร้อมมองหาประสบการณ์ที่หรูหราและเป็นเอกลักษณ์ ให้ความสำคัญกับการแสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเองผ่านสินค้าแบรนด์หรูหรา โดยเป็นกลุ่มที่ไม่ยอมจ่ายเพิ่มในหลายๆ ด้าน และมองหาความสมดุลระหว่างราคากับคุณภาพ
กลุ่ม Baby Boomer มีแนวโน้มซื้อที่อยู่อาศัยใหม่เพิ่มมากขึ้น
ด้านแนวโน้มการซื้อบ้าน พบว่า จากผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด มีเพียง 36% ที่คิดว่าจะซื้อบ้านภายใน 3 ปี ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ลดลงต่อเนื่องจากปี 2023 ที่มีผู้ที่คิดว่าจะซื้อบ้านภายใน 3 ปี ราว 42% สะท้อนกำลังซื้ออสังหาฯของผู้บริโภคที่ลดลง และชะลอการตัดสินใจซื้อหรือเลื่อนการซื้อออกไปนานขึ้น สอดคล้องกับ Consumer Confidence Index ที่พบว่า ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยในปี 2024 ลดลง ซึ่งคนส่วนใหญ่ขาดความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยในช่วง 12 เดือนข้างหน้า และมองว่าในช่วงนี้ไม่ใช่โอกาสที่ดี ในการซื้อสินค้ามูลค่าสูง อย่างอสังหาฯ หรือรถยนต์
“ปีนี้พบว่ากลุ่ม Baby Boomer มีแนวโน้มจะซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ภายใน 3 ปีเพิ่มมากขึ้น จากเจเนอเรชั่นอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ เพราะส่วนใหญ่กำลังมองหาบ้านใหม่ที่สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนสูงวัย โดยมีพื้นที่ระเบียง ที่สามารถนั่งพักผ่อน ภายใต้บรรยากาศที่เงียบสงบ มีมุมสงบเป็นส่วนตัว และใกล้ชิดธรรมชาติ สอดคล้องกับกลุ่ม Gen X ที่เห็นสัญญาณความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ เพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมสูงวัย ขณะเดียวกันยังต้องการพื้นที่ส่วนกลางเพื่อรองรับการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
ส่องเทรนด์นวัตกรรมบ้าน 2025
สำหรับเทรนด์การพัฒนานวัตกรรมบ้านในปี 2025 เห็นว่าคนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญ 3 ด้าน คือ บ้านเทคโนโลยี (Technology Home) อาทิ ระบบไฟตามช่วงเวลา, ระบบดูแลสุขภาพ เซ็นเซอร์ตรวจจับการล้ม, กระจกอัจฉริยะปรับแสง รวมถึง บ้านรักษ์โลก (Net Zero Carbon Home) อาทิ จุดชาร์จรถไฟฟ้า, Solar Cell, ผังโครงการรองรับน้ำท่วม, วัสดุก่อสร้างป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ บ้านสุขภาพดี (Healthy Home) อาทิ การติดตั้งระบบกรองอากาศและเพิ่มอากาศ, มีการออกแบบให้ป้องกันความร้อนและเสียง และพื้นที่ส่วนกลางมีทางเดินกลางแจ้งระยะทางมากกว่า 400 ม.
ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามราว 59% (จำนวน 1,460 คน) ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยภายใน 5 ปี พบว่า กลุ่มนี้มีพฤติกรรมการเลือกซื้อที่เปลี่ยนแปลง โดยหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องราคาเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ บริการหลังการขาย, ระบบรักษาความปลอดภัย, สังคมและสภาพแวดล้อมภายในโครงการ
เมื่อจำแนกจากจำนวนดังกล่าว พบว่า มีความต้องการซื้อบ้านเดี่ยว ราว 86% รองลงมาคือ คอนโดมิเนียม 44% และทาวน์โฮม 24% ตามลำดับ โดยกลุ่มราคาจะอยู่ในช่วงตั้งแต่ น้อยกว่า 3 ล้านบาท คิดเป็น 37%, กลุ่ม 3-5 ล้านบาท คิดเป็น 30% และกลุ่ม 5-7 ล้านบาท คิดเป็น 15% ส่วนกลุ่มมากกว่า 7 ล้านบาท ถึง มากกว่า 20 ล้านบาท มีสัดส่วนรวมทั้งหมดอยู่ที่ 17% โดยกลุ่มผู้ที่ตั้งงบประมาณมากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไปมองว่า “พื้นที่รับประทานอาหาร” และ “ห้องน้ำ” เป็นองค์ประกอบสำคัญที่สะท้อนความหรูหรามากกว่ากลุ่มอื่นๆ ขณะที่กลุ่มที่มีงบประมาณมากกว่า 20 ล้านบาทให้ความสำคัญกับ “พื้นที่ส่วนกลาง” และ “พื้นที่สวนในบ้าน” ซึ่งมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราอย่างชัดเจน
ประกาศรางวัล The Most Powerful Brand in Real Estate 2024
ภายในงานมีการประกาศรางวัล The Most Powerful Brand in Real Estate 2024 รางวัลแบรนด์อสังหาฯ ทรงพลังสูงสุดประจำปี 2024 จากคะแนนทั้ง 7 ด้าน รวมถึงรางวัลพิเศษ มอบรางวัลโดย คุณพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ได้แก่
● รางวัล Zenith of Luxury Award – สำหรับแบรนด์ที่เป็นมาตรฐานแห่งความหรูหราและความไว้วางใจ ผู้ที่ได้รับรางวัล : บริษัท แสนสิริ จํากัด (มหาชน)
● รางวัล Golden Value Award – สำหรับแบรนด์ที่ตอบโจทย์ทั้งคุณภาพและความคุ้มค่าในราคาที่เข้าถึงได้ ผู้ที่ได้รับรางวัล : บริษัท ศุภาลัย จํากัด (มหาชน)
● รางวัล Happiness Hero Award – สำหรับแบรนด์ที่สร้างความสุขให้แก่ลูกค้าด้วยบริการหลังการขายอันยอดเยี่ยม ผู้ที่ได้รับรางวัล : บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
● รางวัล Quality Master Award – รางวัลการันตีคุณภาพมาตรฐานสูงสุด ผู้ที่ได้รับรางวัล : บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จํากัด (มหาชน)
● รางวัล Marvel Award – รางวัลแก่บริษัทผู้ท้าชิงที่มีภาพลักษณ์โดดเด่นเทียบเท่าแบรนด์เจ้าตลาด ผู้ที่ได้รับรางวัล : บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด (มหาชน)
● รางวัล Rising Star Award – สำหรับแบรนด์ดาวรุ่งที่มีคะแนนและภาพลักษณ์โดดเด่นอย่างก้าวกระโดด ในกลุ่มแบรนด์เจ้าตลาด ผู้ที่ได้รับรางวัล : บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)
● รางวัล The Most Powerful Brand in Real Estate 2024 - รางวัลแบรนด์อสังหาฯทรงพลังสูงสุดประจำปี 2024 จากคะแนนทั้ง 7 ด้าน ผู้ที่ได้รับรางวัล : บริษัท แสนสิริ จํากัด (มหาชน)
#TerraBkk #TERRAHINT #BrandSeries2024 #ชีวิตติดแกลม #LuxuryLifestyle #LuxuryLiving