ต้นไม้มงคล 9 อย่าง ปลูกแล้วรวยวัน รวยคืน
เชื่อได้เลยว่า หลายๆ เวลาไปสวดมนต์ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การขอให้รวย เงินทองไหลมาเทมา คงเป็นคำที่ยอดฮิต และนับเป็นคำอวยพรที่ทำให้ถูกอกถูกใจคนรับมากที่สุด แต่การจะทำให้รวยจริง ต้องพึ่งตนเองทั้งสิ้น ทั้งความขยัน มานะ รู้จักใช้จ่ายเงินทอง และมีความพอเพียง
นอกจากนี้ การเสริมดวงด้วยการบูชา หรือ หาของดีๆ มาอยู่กับตัว ก็ถือเป็น ความรู้สึกทางใจ มีค่ามาเช่นกัน วันนี้ เรามีต้นไม้มงคล 9 อย่าง ที่ปลูกแล้วรวยวัน รวยคืน มาฝากกันค่ะ
1. โป๊ยเซียน ดอกไม้มงคล ที่คนโบราณถือว่า หากปลูกไว้หน้าบ้านแล้ว จะมีโชคลาภ เชื่อกันว่า โป๊ยเซียนเป็นต้นไม้ของเทพเจ้า 8 องค์ และหากผู้ใดปลูกโป๊ยเซียนแล้วออกดอก 8 ดอก จะทำให้ผู้นั้นมีโชคลาภเข้ามา
2. ดอกดาวเรือง สีเหลืองทองอร่ามของดอกดาวเรือง เปรียบเสมือน เงินทองเต็มบ้าน ปลูกต้นดาวเรืองไว้หน้าบ้าน หรือบริเวณบ้านให้ออกดอกเยอะๆ ยิ่งเสริมให้มีโชภลาภ กิจการก้าวหน้า
3. ต้นเงินเต็มบ้าน ถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศฟิลิปปินส์ แต่นิยมนำมาปลูกไว้ที่บ้าน เสริมความเป็นมงคล ความเจริญรุ่งเรืองให้กับชีวิต หน้าที่การงาน และมีเงินทองกองเต็มบ้านอีกด้วย
4. ว่านเศรษฐีกอบทรัพย์ ถือเป็นต้นไม้เสี่ยงทาย หากใบม้วน ดอกออกมาก เชื่อว่าดวงชะตาของผู้ปลูกจะดี เจริญก้าวหน้า แต่ในทางกลับกัน หากเหี่ยวเฉา หมายถึง ชะตาชีวิตของผู้ปลูกจะตกต่ำ อับเฉา
5. กวนอิมทอง เป็นต้นไม้ที่นิยมนำมาใช้ในพิธีกรรมและ ศาสนา ความเชื่อโบราณ เชื่อว่า หากปลูกกวนอิมทองแล้ว ทองจะหลั่งไหลเข้าบ้าน มีเงินใช้ไม่ขาดมือ ชีวิตจะมั่งมีศรีสุข
6. เงินไหลมา เมื่อปลูกแล้ว จะได้ผลตามชื่อ คือเงินจะไหลมาเข้าบ้าน ทำกิจการหรือธุรกิจใดๆก็จะมีกำไร ได้รับการอุปถัมภ์จากผู้ใหญ่ เป็นที่รักใคร่ของผู้พบเห็น ควรปลูกในวันอังคาร ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
7. ว่านรวยไม่เลิก ไม้ประดับที่สามารถปลูกในที่ร่มได้ ไว้บนโต๊ะทำงาน หรือปลูกประดับในบ้านได้ เป็นต้นไม้ที่มีความหมายตามชื่อ คือเมื่อปลูกแล้วจะรวยตลอดไป
8. กระบองเพชร คนไทยนิยมปลูกกระบองเพชรไว้ในบ้าน เพราะมีความเชื่อว่า จะทำให้กิจการก้าวหน้า หน้าที่การงานเลื่อนตำแหน่งเร็ว จะมีโชคลาภมาสู่คนในครอบครัว
9. ต้นนางกวัก บ้านใดที่ปลูกต้นนี้ จะเหมือนมีนางกวัก มากวักเงิน กวักทอง กวักสิ่งดีดี เข้าสู่บ้าน ทำให้เงินทองไหลมาเทมา โชคลาภไม่ขาดสาย ค้าขายดี มีกำไร
Credit : banidea.com
Discussion
Follow breaking news Investment property articles on Facebook, click here.