7 Tips to Manage Your Work-Life Balance
ความยากในการดำรงชีวิตทุกวันนี้ ปลูกฝังตั้งแต่การแข่งขันสอบเข้าสถาบันการศึกษาดีๆ เพราะเชื่อว่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยการันตีความสามารถ ทำให้ได้งานที่ดีองค์กรที่มีชื่อเสียงต่อไปในอนาคต แน่นอนว่านั้นเป็นการแข่งขันเพียงส่วนเล็กน้อยในวัยเด็ก เมื่อเทียบกับภาระหน้าที่ความกดดันของคนวัยทำงาน TerraBKK รวบรวม 7 แนวทาง Balance ชีวิตมนุษย์เงินเดือน อย่างสมดุลทั้งเรื่องงานและส่วนตัว เป็นข้อมูลดีๆสำหรับเหล่ามนุษย์เงินเดือนในยุคนี้
Tip 1: Budget Your Time
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใครต่อใครต่างก็สอนเรื่องคุณค่าของเงิน เพราะกว่าจะทำงานหามาได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่น่าแปลกที่ไม่เคยมีใครสอนเรื่องคุณค่าของเวลา ขณะที่มีเงินมากขึ้น กลับไม่เคยมีเวลาเพิ่มขึ้น แนวทางที่ต้องทำความเข้าใจกันใหม่ คือ เวลามีจำกัด แต่เงินทองหาได้ไม่จำกัด ขึ้นอยู่กับความสามารถและวิธีการของแต่ละบุคคล ซึ่งไม่เคยมีใครรู้เลยว่าจะหายใจอยู่บนโลกนี้ได้นานเท่าไหร่ ดังนั้น จำไว้ว่า จงใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างมีคุ้มค่าที่สุดTip 2: Choose Your Risk Level
งานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต แนวทางที่ต้องทำความเข้าใจกันใหม่ คือ จงเลือกระดับความเสี่ยงที่จะยอมเสียเวลาส่วนตัวไปกับงานด้วยตัวคุณเอง สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่า คุณทุ่มเทให้กับงานมากกว่าคนอื่น แต่นั้นหมายความว่า คุณไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะจัดการงานได้ตามเวลา น่าแปลกใจที่หลายคนปล่อยให้ชีวิตตัวเองเป็นเช่นนั้น โดยไม่เคยได้ผลตอบแทนอย่างเงินพิเศษนอกเวลาแต่อย่างใดTip 3: Face the Reality, Not Your Fears
ความกลัวคือความจริง หากตั้งคำถามว่า อะไรสำคัญกว่ากัน ระหว่าง “งาน” กับ “ชีวิต” เป็นคำถามที่ไม่มีถูกผิดใดๆ คนอเมริกาอาจตอบว่า “งาน” ขณะที่คนประเทศอื่นตอบว่า “ชีวิต” ดังนั้น อย่ากลัวอย่างไร้เหตุผล ก่อนที่จะเกิดความกลัว ลองมองย้อนกลับไปดูสิว่า อะไรบ้างที่จะนำมาไปสู่ความกลัวนั้น การทำงานอย่างแข็งขันตลอด 8 ชั่วโมงต่อวัน โดยปฎิเสธการทำงานในวันสุดสัปดาห์ จะทำให้คุณถูกไล่ออกได้จริงหรือ? เชื่อเถอะว่า performance คือเกณฑ์ประเมินผลงานได้ดีกว่าชั่วโมงงานอยู่แล้ว ดังนั้น อย่ากังวลเรื่องถูกไล่ออกจนเกินความเป็นจริงTip 4: Less is Really More
การทำงานต่อเนื่องตลอดเวลาจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง การทำงานอย่างบ้าคลั่ง เป็นการสละเวลาส่วนตัวที่รับเอาความเครียดสะสมอย่างไม่รู้ตัว หากงานของคุณเกี่ยวข้องกับงานครีเอท คุณจะรู้สึกมึนจนไม่เกิดไอเดียเป็นงานดั่งใจ หากงานของคุณเกี่ยวข้อมกับงานประสานงาน คุณจะรู้สึกอารมณ์ฉุนเชียวง่าย หากงานของคุณทำเป็นช่วงเวลาหรือทำงานตอนกลางคืน คุณจะดูคล้ายผีดิบเดินได้ ร่างกายไม่สดชื่น รู้สึกอ่อนเพลียพร้อมหลับตลอดเวลา ทั้งหมดนี้ มาจากความเครียดสะสมและความอ่อนเพลียสะสมจากการทำงานมากเกินไป ดังนั้น ชั่วโมงงานมากเกินพอดี ทำให้ร่างกายพังอย่างไม่เหลือชิ้นดี การทำงานอย่างมีคุณภาพย่อมดีที่สุดTip 5: Talk to Your Boss
การเจรจาบอกความในใจระหว่างเจ้านายลูกน้อง ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับสังคมไทย แต่สำหรับลูกน้องที่โชคดี ที่อยู่ในสถานะเจรจาต่อรองกับเจ้านายได้ และเจ้านายพร้อมรับฟังความคิดเห็น การบอกความกันตามตรงอย่างจริงใจถึงความพอดีเรื่องเวลางาน ความกดดันต่างๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์หรือคุณค่าแก่งานมากที่สุด ก็เป็นหนึ่งวิธีที่น่าสนใจไม่น้อยTip 6: Schedule Your Personal Life First
แน่นอนว่าช่วงเวลาทำงาน ย่อมทุ่มให้กับงานอย่างเต็มที่ แต่สำหรับเวลานอกเหนือจากนั้น ให้ความสำคัญตารางชีวิตตนเองอย่างไม่มีเงื่อนไข หากคุณมีนัดทานข้าวมือค่ำกับครอบครัว คุณควรทำตามนัดนั้นมากกว่านั้งทำงานเกินเวลาที่ office แล้วกลับไปทานข้าวกล่องคนเดียว ตอนที่คนอื่นหลับกันหมดแล้ว ดังนั้น อย่าเอางานมาเป็นข้ออ้างในการยกเลิกกิจกรรมส่วนตัวของคุณTip 7: Reconsider That Commute
ลองคำนวณดูสิว่าการเดินทาง 1 ชม.ต่อวันไปกลับระหว่างบ้านที่ทำงาน รวมแล้วคือการใช้เวลากว่า 11 วันต่อปี เรียกว่าครึ่งเดือนของวันทำงานเลยทีเดียว (=1ชมต่อวัน x 22วันต่อเดือน x 12เดือน ) เวลาเดินทางคือช่วงเวลาที่ถูกตัดออกมาจากชีวิตส่วนตัวของคุณ ไม่ใช่เวลางาน ลองเลือกทางเลือกอื่นไหม เปลี่ยนมาทำงานแถวบ้าน เปลี่ยนจากอยู่บ้านไปเช่าหอใกล้ที่ทำงาน หากเปลี่ยนสิ่งใดไม่ได้ อย่างน้อยลองใช้เวลาช่วงนี้เตรียมการทำงาน เช่น เช็ค mail ลูกค้า เป็นต้น หรืออาจจะพกหนังสือขนาดพอดีเนื้อหาดีสักเล่มไว้อ่านเวลานั้งรถ , ฟังวิทยุข่าวสาระตอนเช้า หรืออะไรที่มีประโยชน์ต่อชีวิตคุณ ดีกว่าปล่อยเวลาเดินทางกว่าครึ่งเดือนต่อปีไปอย่างไร้ความหมาย --เทอร์ร่า บีเคเคบทความโดย : TerraBKK เคล็ดลับการลงทุน TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก
Discussion
Follow breaking news Investment property articles on Facebook, click here.