บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ “S” เผย ทิศทางธุรกิจปี พ.ศ. 2559 ยังเน้นการทำ M&A (Mergers and Acquisitions : การเข้าซื้อและควบรวมกิจการ) ทุ่มเม็ดเงินเฉียด 20,000 ล้านบาท เน้นโตก้าวกระโดด จับธุรกิจอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรมทั้งในและต่างประเทศ พร้อมปักธงอสังหาฯ ตลาดบนสุด เปิดตัว 3 โปรเจค ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ทั้งคฤหาสน์หรูระดับ 150 ล้าน, คอนโดระดับพรีเมี่ยม และออฟฟิศเกรดเอ ด้านCEO ย้ำปีนี้ลุยปั้นแบรนด์ “สิงห์ เอสเตท” เต็มตัว พร้อมพัฒนาศักยภาพบุคลากรสู้การแข่งขันในตลาดอสังหาฯ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 59 นี้ สิงห์ เอสเตท วางเป้าหมายที่ชัดเจน โดยเฉพาะตลาดซูเปอร์ ลักชัวรี่ ด้วยเงินลงทุนรวมประมาณ 18,800 ล้านบาท ตามแผนการลงทุน 5 ปี ของบริษัทที่ตั้งไว้ ซึ่งมีอัตราส่วนการลงทุนในธุรกิจ Hospitality มากที่สุดตั้งไว้ 8,000 ล้านบาท รองลงมาคือธุรกิจที่พักอาศัย 5,100 ล้านบาท และอีก 5,700 ล้านบาทแบ่งเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า พื้นที่ค้าปลีก และประเภทใหม่ คืออุตสาหกรรมคลังสินค้า และโลจิสติกส์

“ปีนี้ สิงห์ เอสเตท ยังจะเดินตามแผนงานเดิมคล้ายปีที่แล้ว เนื่องจากเราถือว่าเป็นน้องใหม่ในตลาดอสังหาฯ ดังนั้น ตามแผนเดิมคือภายใน 5 ปี บริษัทมุ่งสร้างการเติบโตโดยการเข้าซื้อและควบรวมกิจการ ควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพื่อให้ สิงห์ เอสเตท เป็นแบรนด์อันดับต้น ๆ ของประเทศในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยปีนี้เรามีแผนในการเปิดตัวโครงการระดับซูเปอร์ ลักชัวรี่ อย่างน้อย 3 โครงการประกอบด้วย

  • โครงการคฤหาสน์หรูหรา บนถนนประดิษฐ์มนูญธรรม (เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา) ซึ่งเป็นทำเลทองสำหรับตลาดเซ็กเมนท์ A+ บนเนื้อที่ 45 ไร่ คาดว่าราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 150 ล้านบาท
  • โครงการต่อมาคือ อาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกบนหัวมุมถนนอโศก-เพชรบุรี (สิงห์ คอมเพล็กซ์) ที่จะเป็นอีกหนึ่งสำนักงานที่หรูหรา, ทันสมัย และดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ภายในบริเวณประกอบด้วยส่วนค้าปลีก ที่จะมีร้านอาหารชั้นนำ ร้านบริการต่างๆ รวมทั้งธนาคาร เพื่อรองรับความต้องการของพนักงานออฟฟิศ และผู้อยู่อาศัยใกล้เคียง โดยส่วนออฟฟิศสูง 44 ชั้น เป็นอาคารสำนักงานเกรดเอ คาดว่าราคาเช่าจะสูงกว่าตร.ม. ละ 1,000 บาท ซึ่งขณะนี้ทางกลุ่มบุญรอดบริวเวอรี่ได้ทำสัญญาเช่าระยะยาว 6 ชั้นบนสุดไปแล้ว คิดเป็นประมาณร้อยละ 30
  • โครงการคอนโดมิเนียมซูเปอร์ ลักชัวรี่ ภายในบริเวณสิงห์ คอมเพล็กซ์เช่นกัน โดยจะเปิดจองราวไตรมาส 4 และราคาขายน่าจะอยู่ที่ตารางเมตรละ 300,000 บาท”

คุณนริศ กล่าวย้ำเพิ่มเติมว่า นอกจากโครงการซูเปอร์ ลักชัวรี่ ใหม่ๆ ของปีนี้แล้ว สิงห์ เอสเตท เรายังคงเน้นการทำ M&A (Mergers and Acquisitions : การเข้าซื้อและควบรวมกิจการ) เหมือนปีที่ผ่านมา เรามีคณะกรรมการ และทีมงานในการคัดเลือกธุรกิจที่มีผลประกอบการที่ดี โดยการลงทุนเป็นได้ทั้ง ลงทุนเองทั้งหมด หรือร่วมทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งเป้าหมายยังคงเป็นธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ อาทิ ในสหราชอาณาจักรอังกฤษ ยุโรป หรือสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของโลก นอกจากนี้ยังมองไปถึงธุรกิจใหม่ๆ อาทิ ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม, คลังสินค้า และโลจิสติกส์ ซึ่งจากทั้งหมดที่กล่าวมา สิงห์ เอสเตท มั่นใจว่าเราจะเติบโตแบบก้าวกระโดด ด้วยทีมงานคุณภาพ ซึ่งเรามุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรในด้านต่างๆ ผ่านการฝึกอบรม ส่งเสริมการพัฒนาความรู้เพิ่มเติม สร้างคนสิงห์ เอสเตท ให้เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ เพื่อสร้างให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

ทั้งนี้ปัจจุบัน บมจ. สิงห์ เอสเตท เป็นผู้ประกอบธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยมีโครงการที่เริ่มเปิดขาย หรือได้เข้าไปเป็นเจ้าของกิจการแล้ว ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียม ดิ เอส อโศก, อาคารสำนักงาน ซันทาวเวอร์ส ถนนวิภาวดี-รังสิต, โครงการบ้านพักอาศัยภายใต้แบรนด์เนอร์วาน่า, โรงแรมสันติบุรี บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา สมุย, โรงแรมพีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ท และร่วมทุนในโรงแรมภายใต้แบรนด์เมอร์เคียว จำนวน 26 แห่งที่สหราชอาณาจักรอังกฤษ

ขอบคุณข้อมูล จาก : www.singhaestate.co.th