เอสซีจี ประกาศทุ่มงบ 5 ปี 2.5 แสนล้านบาท ลุยขยายลงทุนในอาเซียน ทั้งซื้อกิจการและหาพันธมิตรร่วมทุน มั่นใจมีรายได้เติบโตปีละ 5% พร้อมลั่นเดินหน้าวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้า

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (เอสซีจี) เปิดวิสัยทัศน์อย่างเป็นทางการครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่งซีอีโอว่า ยังคงเน้นเจาสะตลาดอาเซียน และขยายฐานธุรกิจเพิ่มมากขึ้น โดยตั้งงบลงทุนในอาเซียน 5 ปี (2559-63) จำนวน 2.5 แสนล้านบาท หรือปีละ 5 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายการลงทุนมากขึ้น เช่น ซื้อกิจการ หาพันธมิตรร่วมทุน และขยายการลงทุนจากธุรกิจปัจจุบัน เนื่องจากกลุ่มประเทศอาเซียนมีอัตราการขยายตัวสูง ส่งผลให้มีความต้องการสินค้าซีเมนต์-วัสดุก่อสร้าง, บรรจุภัณฑ์ในกลุ่มอุตสาหกรรม ตั้งเป้ามีรายได้ขยายตัวไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี

"ยอมรับว่าในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ตลาดอาเซียนมีการแข่งขันที่รุนแรงเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการการเข้ามารุกตลาดของบริษัทข้ามชาติ ดังนั้นการตัดสินใจที่รวดเร็ว และคล่องตัวทันกับสภาวะตลาด เป็นสิ่งจำเป็นในภาวะการแข่งขันสูง โดยบริษัทฯ จะอาศัยความชำนาญและโอกาส ในการทำธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านทั้ง ลาว กัมพูชา เมียนมา และเวียดนาม ที่บริษัทมีฐานการผลิตอยู่แล้วให้เติบโตมากกว่านี้ รวมทั้งเข้าไปศึกษาโอกาสการลงทุนในจีนตอนใต้ด้วย ซึ่งเดิมเน้นเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียนเท่านั้น แต่หลังจากมีการพัฒนาเส้นทางคมนาคมเชื่อมต่อระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียนถึงจีนตอนใต้" นายรุ่งโรจน์กล่าว

นอกจากจะให้ความสำคัญพัฒนาสินค้าและบริการ ที่มีมูลค่าเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่เป็นการค้นคว้าวิจัยโดยทีมงานเอสซีจีเอง และการร่วมมือกับสถาบันวิจัยชั้นนำของไทย และระดับโลก โดยแต่ละปีเตรียมงบไว้ 1% ของยอดขายหรือ ประมาณ 4,000 ล้านบาทต่อปี

นายรุ่งโรจน์กล่าวว่า บริษัทฯ มีรายได้จากฐานการผลิตในอาเซียนคิดเป็น 12% ของยอดขาย ขณะที่เศรษฐกิจไทยคิดเป็น 20%ของอาเซียน ดังนั้นมีโอกาสตลาดอาเซียนจะเติบโตได้อีกมาก สำหรับการลงทุนเพิ่มเติมในอาเซียนนั้น บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาที่จะเข้าไปซื้อกิจการหรือร่วมลงทุน (M&A) ธุรกิจซีเมนต์ในประเทศเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันเวียดนามมีกำลังการผลิตปูนอยู่ 80 ล้านตันแต่ความต้องการใช้อยู่ที่ 60 ล้านตัน/ปี ซึ่งเกินความต้องการอยู่ หลังจากก่อนหน้านี้ ได้เข้าไปลงทุนตั้งโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ในอินโดนีเซีย เมียนมา ลาวและกัมพูชา เนื่องจากกลุ่มประเทศอาเซียนให้ความสนใจลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมาก

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการเจราหาพันธมิตรร่วมทุนใหม่เข้ามาแทนบริษัท กาตาร์ ปิโตรเลียมที่ถอนตัวในการลงทุนโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนในกลางปีนี้ โดยยอมรับว่าโครงการนี้คงต้องล่าช้าออกไปอีก แต่คาดหวังว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในต้นปี 2560.

ขอบคุณข้อมูลจาก : thaipost