"จอมทัพไทย" ในหัวใจทหาร
ไม่มีวันใดที่บรรยากาศในประเทศไทยจะหม่นเทา โศกเศร้าไปทั่วทุกแห่งหนเหมือนเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในหน่วยทหาร ป้อมค่ายทั่วประเทศ บริเวณชายแดนที่มีทหารเฝ้ารักษาอธิปไตยตลอดแนว เมื่อแรกที่ได้รับรู้ข่าวการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ต่างก็ไม่อยากจะเชื่อสายตาจากข่าวที่ได้เสพจากการบอกผ่านในโซเชียลมีเดีย จนกว่าจะมีแถลงการณ์จากสำนักพระราชวังอย่างเป็นทางการ กระทั่งได้เห็นประกาศทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยอย่างเป็นทางการ นั่นจึงทำให้เหล่าบรรดาทหารหาญต้องอาลัยไปกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของพวกเขา
นอกจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ จะทรงเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยแล้ว พระองค์ท่านยังทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย และทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านการทหารมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในภาวะที่ประเทศไทยต้องผจญกับภัยคุกคามในช่วงทศวรรษต่างๆ แต่ก็ผ่านสถานการณ์ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อมาได้ จนกระทั่งยืนหยัดอย่างมั่นคงเช่นปัจจุบัน ส่งผลให้คนในชาติได้อยู่อาศัยอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี ที่หาที่เปรียบมิได้คือ พระบารมีแห่งพระองค์ช่วยลดการเผชิญหน้ากันระหว่างคนต่างอุดมการณ์ที่อาศัยอยู่ในประเทศ แผ่นดินจึงดำรงอยู่มาได้ด้วยความสงบร่มเย็นถึงปัจจุบัน
หากย้อนกลับไปในอดีต พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ทรงเป็นจอมทัพ ในการต่อสู้กับข้าศึกของประเทศด้วยพระองค์เอง ล่วงมาถึงปัจจุบันที่แม้การพุ่งรบลักษณะเช่นนั้นจะไม่เกิดขึ้นแล้ว แต่พระมหากษัตริย์ของไทยยังทรงดำรงตำแหนงจอมทัพตามที่รัฐธรรมนูญได้ถวายพระเกียรติไว้ครั้งแรกในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ที่ว่าพระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพสยาม และนับแต่วาระนั้นเป็นต้นมา รัฐธรรมนูญที่ตราขึ้นภายหลังจึงมีบทบัญญัติทำนองเดียวกันนี้ปรากฏอยู่ทุกฉบับ
และบางครั้งบัญญัติในตอนท้ายด้วยว่าทรงเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของทหารทั้งปวง แต่ทั้งนี้พระบรมราชวินิจฉัยและพระบรมราชโองการที่ทรงสั่งการตามบทบัญญัติดังกล่าว โดยมีนายกรัฐมนตรีหรือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมลงนามสนองพระบรมราชโองการ ซึ่งเท่ากับเป็นการสั่งการโดยถูกต้องตามขอบเขตพระราชอำนาจในรัฐธรรมนูญตามคำแนะนำ และคำยินยอมของคณะรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนตามการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชอำนาจในการประกาศใช้และยกเลิกกฎอัยการศึกตามกฎหมายว่าด้วยกฎอัยการศึก และทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศสงครามโดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา รวมทั้งพระราชอำนาจในการแต่งตั้ง ถอดถอนข้าราชการทหาร ซึ่งกระทำโดยประกาศเป็นพระบรมราชโองการ
ในพระราชฐานะที่พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย จึงทรงเป็นมิ่งขวัญและกำลังใจของเหล่าทหารหาญทุกหมู่เหล่า หน่วยรบซึ่งปกป้องรักษาอธิปไตยของประเทศ เป็นรั้วของชาติ ซึ่งการเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมค่ายทหารและตำรวจตระเวนชายแดน บางครั้งอยู่ระหว่างเหตุการณ์สู้รบ แต่พระองค์ยังทรงแน่วแน่เสด็จพระราชดำเนินเข้าไปในสนามรบ อยู่ในพื้นที่เสี่ยงซึ่งมีภยันตรายมากมาย หาได้เกิดปริวิตกถึงพระราชสวัสดิภาพของพระองค์ไม่
นอกจากนั้น ยังเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมทหารที่บาดเจ็บจากสมรภูมิที่กลับมารักษาตัวที่โรงพยาบาลต่างๆ พร้อมทั้งพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ทุกด้านแก่ครอบครัวผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตตลอดมา ทำให้เหล่าทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร รวมถึงลูกเสือชาวบ้าน ซึ่งเป็นกำลังสำคัญของชาติ มีขวัญกำลังใจเข้มแข็ง พร้อมที่จะต่อสู้กับข้าศึกศัตรูของแผ่นดินด้วยความกล้าหาญและเสียสละเพื่อประเทศชาติ
การเทิดทูนองค์พระมหากษัตริย์ของเหล่าทหารในความรู้สึกที่มาจากจิตสำนึกที่เกิดขึ้นเองของผู้ที่สวมเครื่องแบบ รับราชการในกองทัพ ประกอบกับพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อเหล่าทหารยิ่งเพิ่มทวีความจงรักภักดีต่อพระองค์และพระราชวงศ์ด้วย ดังเห็นได้จากพระราชปณิธานที่มีต่อการทหารปรากฏจากแนวพระราชดำริและพระราชดำรัส คือ ทหารจะต้องทำหน้าที่เป็นทั้งนักรบ นักพัฒนา และนักปกครอง ไปพร้อมกับการป้องกันประเทศ ดังพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 12 กันยายน พุทธศักราช 2512 ที่ว่า
สงครามที่กระทำกันอยู่ในปัจจุบัน เป็นการรบเพื่อป้องกันรักษาประเทศโดยตรง และจำเป็นต้องใช้หน่วยรบพิเศษซึ่งเป็นกองรบเล็กๆ ที่เข้มแข็ง สามารถปฏิบัติการโดยเอกเทศให้ได้ผลครบถ้วน ทั้งด้านการรบและด้านการติดต่อประสมประสานกับประชาชน ทหารในกองรบพิเศษต้องได้รับการฝึกหัดอบรมอย่างดีให้มีความสามารถสูง คือให้มีความกล้า อดทน แข็งแกร่ง มีความฉลาด ไหวพริบจัดเจนในการใช้วิชายุทธ์และจิตวิทยา ให้ทำหน้าที่เป็นนักรบ นักพัฒนา และนักปกครอง ซึ่งเข้ากับคนทุกประเภทได้พร้อมมูลในตัว
จึงไม่แปลกที่บรรยากาศนับแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงพระประชวร ช่วงก่อนจะออกแถลงการณ์เรื่องพระอาการฉบับสุดท้ายนั้น จึงมีการจัดกิจกรรมสวดมนต์ เจริญพระพุทธมนต์ของกำลังพลในทุกเหล่าทัพ เพื่อขอพรให้พระองค์ท่านทรงอยู่เป็นมิ่งขวัญของเราต่อไป แต่เมื่อปรากฏแถลงการณ์พระอาการฉบับสุดท้ายออกมา เหล่าบรรดาทหารหาญที่แม้จะโศกเศร้าเพียงใด แต่การทำหน้าที่ของตนเองในการดูแลความสงบเรียบร้อย สืบสานพระราชปณิธานของพระองค์ท่านในการทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนด้วยความเข้มแข็งก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป
ขอบคุณที่มา : www.thaipost.net