ผลการจัดอันดับขีดความสามารถใน การแข่งขัน ของประเทศ ประจำปี 2560 โดย IMD World Competitiveness Center
ผลการจัดอันดับโดยรวม
สถาบัน IMD World Competitiveness Center ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้เผยแพร่รายงาน IMD World Competitiveness Yearbook 2017 ซึ่งเป็นการรายงานการจัดอันดับขีดความสามารถใน การแข่งขัน ของประเทศต่างๆ 63 ประเทศทั่วโลก โดยจากผลการจัดอันดับดังกล่าว พบว่าในปีนี้ ฮ่องกงยังคงเป็นอันดับ 1 และสวิตเซอร์แลนด์อยู่ในอันดับที่ 2 สิงคโปร์เลื่อนขึ้นมา 1 อันดับโดยอยู่ในอันดับ 3 สหรัฐอเมริกาตกลง 1 อันดับโดยอยู่ในอันดับ 4 และเนเธอร์แลนด์ อยู่ในอันดับ 5 เลื่อนขึ้นมา 3 อันดับจากปีที่แล้ว ในปีนี้ ประเทศที่มีอันดับความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้นมากที่สุดได้แก่ ประเทศคาซัคสถานที่มีอันดับสูงขึ้นถึง 15 อันดับจากอันดับที่ 47 ในปีที่แล้ว เลื่อนมาอยู่ในอันดับที่ 32 ในปีนี้ รองลงมาคือประเทศจีนที่เลื่อนขึ้นมาถึง 7 อันดับและมีอันดับที่ 18 ในปีนี้
อันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย
จากการจัดอันดับความสามารถใน การแข่งขัน โดย IMD ในปี 2560 ประเทศไทยมีผลที่ดีขึ้นทั้งโดยคะแนนและอันดับ โดยมีคะแนนรวมในปีนี้เท่ากับ 80.095 เปรียบเทียบกับ 74.681 ในปี 2559 และมีอันดับที่ดีขึ้น 1 อันดับ โดยเลื่อนขึ้นจากอันดับที่ 28 ในปี 2559 เป็นอันดับที่ 27 ในปี 2560 หากพิจารณาเฉพาะ 5 ประเทศอาเซียนที่อยู่ในการจัดอันดับนี้ ซึ่งได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียแล้ว ส่วนใหญ่มีอันดับดีขึ้นโดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซียที่อันดับดีขึ้นถึง 6 อันดับ ขณะที่ประเทศมาเลเซียเป็นประเทศเดียวในกลุ่มอาเซียนที่มีอันดับลดลงจากอันดับที่ 19 เป็นอันดับที่ 24 ในปีนี้
ผลการจัดอันดับของประเทศที่ได้รับการจัดอันดับในกลุ่มอาเซียน
เมื่อพิจารณาคะแนนที่ประเทศไทยได้รับในระยะตั้งแต่ปี 2556 - 2560 จะเห็นได้ว่ามีคะแนนที่สูงขึ้นมาโดยตลอดนับตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา และเริ่มมีแนวโน้มสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยของทุกประเทศที่ได้รับการจัดอันดับตั้งแต่ปี 2558 โดยในปี 2560 ประเทศไทยมีคะแนน 80.095 ในขณะที่คะแนนเฉลี่ยของ 63 ประเทศที่ได้รับการจัดอันดับเท่ากับ 77.033 อันแสดงให้เห็นว่าความพยายามของรัฐบาลและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้เริ่มส่งผล ซึ่งหากมีการเร่งดำเนินการขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง จะทำให้ประเทศไทยมีอันดับความสามารถที่สูงขึ้นจนเป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำได้อย่างแน่นอน
ผลคะแนนเฉลี่ยโลกระหว่างปี 2556 - 2560 และคะแนนของประเทศในกลุ่มอาเซียน
เมื่อพิจารณาผลการจัดอันดับของประเทศไทยตามปัจจัยหลักที่ใช้ในการจัดอันดับรวม 4 ด้าน ได้แก่ สภาวะทางเศรษฐกิจ (Economic Performance) ประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government Efficiency) ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (Business Efficiency) และโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) พบว่า ปัจจัยที่มีอันดับดีที่สุดคือ สภาวะทางเศรษฐกิจ ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 10 เพิ่มขึ้น 3 อันดับจากปี 2559 ในขณะที่ปัจจัยด้านประสิทธิภาพของภาครัฐมีอันดับที่ 20 เพิ่มขึ้น 3 อันดับเช่นเดียวกัน ส่วนปัจจัยด้านประสิทธิภาพของภาคธุรกิจและโครงสร้างพื้นฐานมีอันดับคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง โดยมีอันดับที่ 25 และ 49 ตามลำดับในปี 2560 โดยมีรายละเอียดของแต่ละด้าน ดังนี้
1. สภาวะทางเศรษฐกิจ (Economic Performance)
ผลการจัดอันดับด้านสภาวะทางเศรษฐกิจในปี 2560 พบว่า ประเทศไทยมีปัจจัยย่อยที่มีอันดับดีขึ้นถึง 3 ด้าน ได้แก่ เศรษฐกิจภายในประเทศ (Domestic Economy) ที่ขึ้นมาเป็นอันดับที่ 33 จากอันดับที่ 37 ในปี 2559การค้าระหว่างประเทศ (International Trade) อยู่ในอันดับที่ 3 จากอันดับที่ 6ในปี 2559 และ ราคาและค่าครองชีพ (Prices) ที่อันดับดีขึ้นมากจากอันดับที่ 45 เป็นอันดับที่ 28 ในขณะที่ด้านการจ้างงาน (Employment) ยังอยู่ในอันดับที่ดีมากคืออันดับที่ 3 เช่นเดียวกับปีก่อน ส่วนปัจจัยย่อยที่มีอันดับลดลงคือ การลงทุนระหว่างประเทศ(International Investment) จากอันดับที่ 28 ในปี 2559 เป็นอันดับที่ 37 ในปีนี้
เมื่อพิจารณาเป็นประเด็นย่อยจุดเด่นของประเทศไทยยังคงเป็นด้านที่เกี่ยวกับการจ้างงาน รายได้จากการท่องเที่ยว และความมั่นคงของบัญชีเดินสะพัด ส่วนประเด็นที่ยังต้องพัฒนาต่อไปคือ ด้านรายได้ประชาชาติต่อหัวของประชากรที่อยู่ในอันดับที่ 54 ด้านค่าครองชีพ ความเสี่ยงจากการย้ายฐานการผลิต และด้านการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ และการไปลงทุนในประเทศอื่น เป็นต้น
2. ประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government Efficiency)
ด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ ผลการจัดอันดับในปี 2560 มีอันดับที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 3 ปีล่าสุด ปัจจัยย่อยมีอันดับที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญได้แก่ ด้านกฎหมายด้านธุรกิจ (Business Legislation) ที่ดีขึ้นถึง 6 อันดับจากปี 2559 โดยขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 38 จากอันดับที่ 44 ในปีก่อนหน้า และด้านกรอบการบริหารภาครัฐ (Institution Framework) ที่ขึ้นมาเป็นอันดับที่ 30 จาก 33 ในปีที่แล้ว นอกจากนี้ ด้านนโยบายภาษี (Tax Policy) นั้นยังคงได้อันดับที่สูงกว่าเดิมจากที่เคยสูงอยู่แล้ว โดยขึ้นมาอยู่ในอันดับ 4 ในปี 2560 อีกด้วย
ทั้งนี้ ประมาณครึ่งหนึ่งของประเด็นที่ใช้ในการจัดอันดับในหมวดนี้มาจากการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารในภาคธุรกิจ ซึ่งส่วนใหญ่มีอันดับที่สูงขึ้น จึงสะท้อนให้เห็นว่ามาตรการต่างๆ ที่รัฐดำเนินการเช่น การแก้ไขกฎระเบียบและปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐให้มีความสะดวกต่อการดำเนินธุรกิจ การให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน การปรับตัวของนโยบายภาครัฐ รวมถึงความคล่องตัวในการดำเนินนโยบาย ได้รับการยอมรับจากผู้ตอบแบบสำรวจ ส่วนประเด็นที่ยังต้องปรับปรุงในหมวดนี้ ได้แก่ ต้นทุนการปลดออกจากงาน (Redundancy Costs) กำแพงภาษี (Tariff barriers) และ ระยะเวลาในการเริ่มต้นธุรกิจ (Start-up days) เป็นต้น
3. ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (Business Efficiency)
ผลการจัดอันดับด้านประสิทธิภาพของภาคธุรกิจในปี 2560 ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับอยู่ที่ 25 ไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาปัจจัยย่อย พบว่ามีปัจจัยย่อยที่อันดับดีขึ้น 2 ปัจจัย ได้แก่ ด้านการจัดการ (Management Practices) และ ด้านผลิตภาพและประสิทธิภาพ (Productivity & Efficiency) ในขณะที่ด้านตลาดแรงงาน และด้านการเงินมีอันดับลดลง ส่วนด้านทัศนคติและค่านิยมมีอันดับคงเดิม
ด้านการบริหารจัดการ (Management Practices) ปรับตัวดีขึ้น 6 อันดับโดยขึ้นมาอยู่ที่ 20 ในปีนี้ มีผลมาจากการดีขึ้นของตัวชี้วัดต่างๆ เช่น การคำนึงถึงความพึงพอใจของลูกค้า (Customer satisfaction) การเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) และ ความน่าเชื่อถือของผู้จัดการ (Credibility of managers) เป็นต้น ส่วนในด้านผลิตภาพและประสิทธิภาพ (Productivity & Efficiency) ถึงแม้จะมีอันดับดีขึ้น 2 อันดับจากปีที่ผ่านมาโดยมาอยู่อันดับที่ 41 อันเป็นผลมาจากการปรับตัวดีขึ้นของอัตราเพิ่มของผลิตภาพ (Overall Productivity – real growth) ซึ่งอยู่ในอันดับ 3 จาก 63 ประเทศ แต่ยังคงเป็นประเด็นที่ประเทศไทยควรเร่งปรับปรุง เนื่องจากผลิตภาพของแรงงานทั้งในภาพรวมและในภาคเศรษฐกิจต่างๆ ยังคงอยู่ในอันดับต่ำ อาทิ ผลิตภาพในภาพรวม (Overall Productivity) ที่อยู่ในอันดับที่ 58 จาก 63 ประเทศ
4. โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure)
ผลการจัดอันดับของไทยด้านนี้ยังอยู่ในอันดับค่อนข้างต่ำโดยได้รับการจัดอันดับที่ 49 ไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตามมีปัจจัยย่อย 2 ด้านที่อันดับดีขึ้น ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี (Technological Infrastructure) ที่ปรับตัวดีขึ้น 6 อันดับ และ โครงสร้างพื้นฐานทั่วไป (Basic Infrastructure)ที่ปรับตัวดีขึ้น 1 อันดับ
ด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับที่ 36 ดีขึ้น 6 อันดับ โดยตัวชี้วัดที่ส่งผลต่อการปรับตัวดีขึ้น ได้แก่ การมีเทคโนโลยีการสื่อสารที่ตอบสนองภาคธุรกิจและความเชื่อมโยงต่างๆ ความเร็วอินเตอร์เนต การส่งออกสินค้าไฮเทค และ การพัฒนาด้านเทคโนโลยีซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างเอกชนกับเอกชน และรัฐกับเอกชน (Public-private partnerships) เป็นต้น
ด้านโครงสร้างพื้นฐานทั่วไปได้รับการจัดอันดับที่ 34 ปรับตัวดีขึ้น 1 อันดับ โดยมีตัวชี้วัดที่ปรับตัวดีขึ้นได้แก่ การเข้าถึงแหล่งน้ำ (Access to water) ที่ปรับตัวดีขึ้น 6 อันดับ การเข้าถึงสินค้าบริโภคพื้นฐาน (Access to commodities) ซึ่งมีอันดับดีขึ้น 3 อันดับ และ คุณภาพของการขนส่งทางอากาศ (Quality of air transportation) ซึ่งอันดับดีขึ้น 3 อันดับ เช่นเดียวกัน
แม้ว่าผลการจัดอันดับด้านโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ แต่อย่างไรก็ตามตัวชี้วัดเกี่ยวกับการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาและบุคลากรด้านการวิจัย ปรับตัวดีขึ้นในทุกประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชนที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้อันดับของตัวชี้วัดด้านมูลค่าการลงทุนปรับตัวดีขึ้นถึง 4 อันดับ และสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้าน R&D ของภาคธุรกิจต่อ GDP (Business Expenditure on R&D (%)) ปรับตัวดีขึ้นถึง 10 อันดับ นอกจากนั้น ความสามารถในการสร้างนวัตกรรม (Innovation Capacity) ของประเทศก็ปรับตัวดีขึ้นถึง 9 อันดับจากปีก่อนหน้า ทั้งนี้ ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญและหาทางพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น คือ ด้านการจดสิทธิบัตร ซึ่งทั้งจำนวนการยื่นขอ และการจดสิทธิบัตร รวมถึงจำนวนสิทธิบัตรที่มีผลบังคับใช้ยังอยู่ในอันดับต่ำ
ด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม และการศึกษา ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องเร่งพัฒนาเป็นอย่างมาก โดยยังอยู่ในอันดับต่ำทั้งสองหมวด ประเด็นสำคัญที่ต้องปรับปรุงในด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมได้แก่ การเพิ่มจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ต่อประชากร และการประหยัดพลังงาน ในขณะที่ด้านการศึกษา ต้องเร่งพัฒนาความสามารถทางภาษาอังกฤษของบุคลากร รวมทั้งความสามารถทางวิชาการโดยเฉพาะด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ และการปรับปรุงอัตราส่วนของครูต่อนักเรียนในระดับมัธยมศึกษา เป็นต้น
บทสรุป
ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศในปี 2560 นี้ นอกจากสะท้อนให้เห็นถึงพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ยังคงแข็งแกร่งแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทุกภาคส่วนที่ร่วมกันยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเป็นผลสำเร็จ ตั้งแต่ระดับรัฐบาลที่กำหนดให้การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเป็นวาระแห่งชาติ มีการกำหนดยุทธศาสตร์และแผนงานโดยมีคณะกรรมการระดับชาติคือ คณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (กพข.) ที่มี ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานมากำกับดูแลการขับเคลื่อน และได้มีการสื่อสารยุทธศาสตร์หลักไปยังทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ และภาคเอกชนที่ร่วมขับเคลื่อนวาระแห่งชาตินี้ผ่านโครงการริเริ่มต่างๆ
อย่างไรก็ตาม ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศในปีนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการก้าวขึ้นสู่อีกระดับ ไทยยังคงมีศักยภาพที่จะยกระดับขีดความสามารถเพิ่มสูงขึ้น หากแต่ต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆให้มีความพร้อมเพื่อสามารถสนับสนุนกระบวนการในการยกระดับขีดความสามารถของประเทศอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
ขอบคุณข้อมูลจาก thailandcompetitiveness.org จากหัวข้อข่าว : ผลการจัดอันดับขีดความสามารถใน การแข่งขัน ของประเทศ ประจำปี 2560 โดย IMD World Competitiveness Center