ไม่อยากซ้ำรอยชาติอื่น อย่าให้ “มาตรการผ่อนปรน” ทำคนละเลย!
เป็นข่าวดีของหลาย ๆ ประเทศในรอบหลายเดือน ที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ค่อย ๆ คลี่คลายลง ตัวเลขผู้ป่วยมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ แม้ว่าจะยังไม่ปกติ 100 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม ทำให้รัฐบาลแต่ละประเทศเริ่มผ่อนปรนมาตรการปิดเมืองที่ใช้ควบคุมสถานการณ์ช่วงก่อนหน้านี้บ้างแล้ว
สำหรับประเทศไทยก็ทยอยคลายล็อกดาวน์สถานที่ต่าง ๆ ตามลำดับ หากประเมินสถานการณ์ตามแผนแล้วว่าตัวเลขผู้ป่วยไม่เพิ่มขึ้น ทุกอย่างก็น่าจะกลับมาปกติในเร็ววัน
แต่การที่สถานการณ์ดีขึ้น และมาตรการปลดล็อกที่เร็วเกินไป ทำให้หลายคนชะล่าใจ และกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เช่น การออกมาทำกิจกรรมนอกบ้านโดยไม่ป้องกัน ไม่ใส่หน้ากากอนามัย ไม่เว้นระยะห่าง ออกไปในที่ที่มีคนเยอะ ๆ หรือช่วงวันหยุดยาวก็เดินทางไปนู่นมานี่ ทั้งที่ไม่มีอะไรการันตีเลยว่า COVID-19 นั้นหมดไปแล้วจริง ๆ หรือยังหลงเหลืออยู่ เพื่อรอกลับมาระบาดครั้งใหญ่อีกครั้ง ซึ่งหลายประเทศก็เจอบทเรียนนี้แล้ว
โดยที่ผ่านมา พบเคสของผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว ผลตรวจเป็นลบแล้ว แต่ยังมีเชื้อหลงเหลืออยู่ และส่งผลให้ผลตรวจกลับมาเป็นบวกเหมือนเดิม ที่สำคัญก็ยังเป็นไปได้ว่าคนที่เคยป่วยมาแล้วจะมีภูมิคุ้มกันจนไม่แสดงอาการป่วย ในขณะเดียวกันก็ยังแพร่เชื้อได้ โดยเฉพาะกลุ่มคนวัยทำงานที่ร่างกายแข็งแรง ต้องออกไปทำงานทุกวัน ต้องเจอผู้คนมากมาย จึงมีความเสี่ยงสูงมากที่ COVID-19 จะกลับมาระบาดรอบ 2 และอาจจะแย่กว่ารอบแรกก็เป็นได้
อย่างที่จีน จะเห็นว่าในช่วงที่ผ่านมาสถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับ จนรัฐบาลกลับมาเปิดประเทศปกติ แต่นั่นก็ทำให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ขณะที่ญี่ปุ่น ก่อนหน้านี้ก็ควบคุมตัวเลขผู้ติดเชื้อได้แล้ว แต่ที่ฮอกไกโด เมื่อเริ่มผ่อนปรนมาตรการกลับมีตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ทางการต้องกลับมาทบทวนว่าอาจจะต้องคงมาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดต่อไป สิงคโปร์เองก็เช่นกัน จากที่ดูเหมือนจะควบคุมตัวเลขผู้ป่วยได้แล้ว ก็มียอดผู้ป่วยรายใหม่เด้งสูงขึ้นจนน่าตกใจ ซึ่งมาจากแรงงานข้ามชาติเป็นส่วนใหญ่
จากข้อมูลเหล่านี้ ทำให้เห็นว่าการกลับมาดำเนินชีวิตปกติในขณะที่สถานการณ์ยังไม่ปกติ 100 เปอร์เซ็นต์นั้น มีโอกาสที่จะทำให้ COVID-19 กลับมาระบาดระลอก 2 ได้สูงมาก ซึ่งปัจจัยสำคัญ เป็นเพราะประชาชนไม่มีวินัยมากพอที่จะรับผิดชอบต่อส่วนรวม ไม่ปฏิบัติตามมาตรการที่ภาครัฐขอความร่วมมือ แม้ว่ารัฐจะคลายความเข้มงวดลงแล้ว แต่ก็ยังหย่อนยานไม่ได้เช่นกัน เพราะไม่มีทางรู้ได้เลยว่า หากเชื้อกลับมาระบาดอีกครั้ง จะรุนแรงและรับมือยากกว่ารอบแรกหรือไม่
ดังนั้น หากเราอยากกลับมาใช้ชีวิตปกติให้ได้เร็ว ๆ ก็จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากคนทั้วประเทศ ทั้งการมีวินัย ปฏิบัติตามแนวทางควบคุมโรค ป้องกันตัวเอง และรับผิดชอบต่อส่วนรวม เพราะการล็อกดาวน์ในช่วงที่ผ่านมาถือว่าส่งผลกระทบต่อผู้คนในวงกว้าง
หากต้องเริ่มต้นล็อกดาวน์กันใหม่ ต้องอยู่กันแบบนี้อีกเป็นปี อย่าว่าแต่ประเทศไม่ไหว ประชาชนเอวก็คงไม่ไหวเช่นกัน ในเมื่อไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ก็ทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่ ซึ่งรัฐบาลของแต่ละประเทศต่างก็ต้องแบกรับภาระในการออกมาตรการเยียวยาต่าง ๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะพยุงสถานการณ์ไว้ได้ยาวนานเพียงใด
SOURCE : www.tonkit360.com