ตั้งสติเตรียมรับ 'ตุลาคมอันตราย'?
สถานการณ์ทั่วโลกส่งสัญญาณหลายอย่าง การติดเชื้อโควิด-19 หลายมุมโลกที่เพิ่มมากขึ้น หรือความเสี่ยงการระบาดระลอกสองของจีน มาตรการเปิดประเทศของไทย สถานการณ์การเลือกตั้งสหรัฐที่น่ากังวลที่ผลต่อเศรษฐกิจโลกและการลงทุน สิ่งเหล่านี้ยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
ต.ค.ปีนี้เป็นเดือนที่มีความพิเศษแตกต่างจากทุกปีที่ผ่านมา เราควรจับตามองการลงทุนโดยความใกล้ชิด แบ่งกระจายความเสี่ยงออก และถือเงินสดไว้บ้าง รอให้ผ่านสิ้นปีนี้ครับ
สถานการณ์ทั่วโลกส่งสัญญาณแปลกหลายอย่าง ซึ่งเราไม่เคยเจอ จีนดูเหมือนว่าควบคุมโรคระบาดครั้งนี้ได้ดีพอสมควร หลังจากที่ใช้มาตรการเด็ดขาดในการระงับการเดินทางช่วงตรุษจีนเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา สัปดาห์นี้เป็นเทศกาลใหญ่ที่สำคัญฉลองฤดูใบไม้ร่วงและวันชาติ เป็นเวลาแปดวัน คาดว่าจะมีผู้เดินทาง ส่วนใหญ่ภายในจีน ประมาณไม่ต่ำกว่า 600 ล้านคน มีความเสี่ยงเรื่องการแพร่เชื้ออีกครั้ง
อินเดียกำลังจะแซงสหรัฐอเมริกาเรื่องการป่วยจากโควิด-19 (ติดเชื้อแล้วกว่า 6.4 ล้านคน ตายเกือบ 1 แสนคน) ยุโรปกำลังวิตกเรื่องการติดต่อระลอกสอง ขณะที่สหรัฐอเมริกามีอัตราผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 29 รัฐ อัตราการติดเชื้อเพิ่มขึ้นวันละประมาณ 40,000 คน และจำนวนผู้เสียชีวิตเพราะโควิด-19 กว่า 900 คนต่อวัน (ติดเชื้อแล้ว 7.3 ล้านคน ตายกว่า 2 แสนคน)
การเลือกตั้งประธานาธิบดีของอเมริกาเป็นที่จับตามองของทั่วโลก เพราะหากเกิดโกลาหลจะส่งผลกระทบถึงความมั่นคงและเศรษฐกิจของทุกประเทศ ท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์เห็นชัดว่ามีความวิตก เนื่องจากคะแนนเสียงค่อนข้างแย่ (43%) จากการโต้วาทีกับ Joe Biden ผู้แทนฝ่ายเดโมแครต (51%) วันที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา ทำให้ภาพลักษณ์ของการเมืองอเมริกาตกต่ำ ประธานาธิบดีส่งสัญญาณแบบปากว่าตาขยิบถึงผู้สนับสนุน ให้เตรียมตัวประท้วงและอาจมีการใช้กำลัง หากผลการเลือกตั้งออกมาไม่ตรงกับที่หวังไว้
และความตึงเครียดเพิ่มขึ้นเนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์และภรรยาติดโควิด-19 จากการตรวจวันที่ 1 ต.ค. ทำให้ต้องกักกันตัวและอาจต้องทำการรักษาในช่วงสำคัญของการหาเสียง
หากอเมริกาเกิดความวุ่นวายถึงขั้นรุนแรงช่วงการเลือกตั้งครั้งนี้ เศรษฐกิจการเงินการธนาคารของโลกจะสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ ความเปราะบางที่มีอยู่แล้วจะทำให้หลายประเทศทรุดหนักและยากที่จะฟื้นตัว
การลงทุนในตลาดหุ้นและบางอุตสาหกรรมในอเมริกา ผลตอบแทนการลงทุนหากดูผิวเผินยังคุ้มค่า กรณีของหุ้นเทคโนโลยีใหญ่ ที่ราคาหุ้นตกลงเดือนมี.ค.ปีที่แล้วถึงประมาณ 30% ก็กลับขึ้นมาอีก ตกอีกครั้งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วประมาณ 10-12% ก็ฟื้นกลับมาอีก หลายคนยังไม่กล้าขายหุ้นออกไปบ้างทั้งที่รู้ว่าเดือนนี้อันตราย แต่กลัวว่าจะพลาดโอกาสในการทำกำไร FOMO (Fear of Missing out) เห็นชัดในตลาดหุ้นปัจจุบัน
ยกตัวอย่างบริษัทยอดนิยมเหล่านี้ ภายในหนึ่งปี ผู้ลงทุนได้กำไรสูงมาก เช่น AAPL 109%, WMT 21%, BABA 78%, TSLA 810%, AMZN 86% เป็นต้น ผลตอบแทนอย่างนี้ทำให้เกิดการเสพติด และอาจมองข้ามอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น
นักลงทุนรายย่อย ซึ่งเพิ่งเข้าสู่ตลาดหุ้นไม่นานนัก มีจำนวนมากขึ้นทุกวัน กลุ่มนี้กำลังสร้างวัฒนธรรมใหม่ในตลาดหุ้นทั่วโลก เทคโนโลยีในการสื่อสาร ความสะดวกของการใช้แอพต่างๆ ที่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม การตัดสินใจซื้อขายฉับไว ทำให้ไม่มีเวลาไตร่ตรอง การขึ้นลงของราคาหุ้นในแต่ละวันเป็นไปอย่างน่าฉงนใจ พอมีข่าวขึ้นมา แม้ยังไม่มีการยืนยัน ก็เกิดการซื้อขายหุ้นจำนวนมากภายในไม่กี่นาที (นักลงทุนรายย่อยมีประมาณ 37% ของตลาดหุ้นอเมริกา Robinhood App มีสมาชิกกว่า 13 ล้านคน และจำนวนผู้เข้าใหม่เพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านคนต่อเดือน)
มืออาชีพที่รับผิดชอบในการลงทุนจำนวนเงินใหญ่ต่างๆ ซึ่งแต่เดิมเคยให้ความสนใจน้อยมากกับนักลงทุนรายย่อย ปัจจุบันจำเป็นต้องปรับตัวตาม เพราะฝืนกระแสไม่ไหว การใช้เหตุและผลในการลงทุนวิเคราะห์ตามหลักการ ยังใช้ได้บ้าง แต่น้ำหนักเริ่มลดลง
เดือน ต.ค.ในเมืองไทยมีประวัติของความตึงเครียดการการเมืองบ่อยครั้ง สาเหตุหนึ่งก็คือช่วงนี้ระบบราชการที่มีการเปลี่ยนผู้บริหารโดยการปรับระดับตำแหน่งสถานที่ นักเรียนนักศึกษาซึ่งเปิดเทอมมาระยะหนึ่งเริ่มมีเวลาสร้างกลุ่มและความสัมพันธ์ในการแสดงออก ส่งผลถึงการประท้วงทางการเมืองต่างๆ
ต.ค.ปีนี้นอกจากเป็นยุค new normal ซึ่งแม้ว่าชาวไทยสร้างผลงานยอดเยี่ยมในการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อและทำให้เริ่มใช้ชีวิตในสังคมได้มากขึ้น แต่ความเสี่ยงยังมีอยู่ เนื่องจากโรคระบาดอาจเข้ามาจะต่างประเทศ รวมทั้งแถบเพื่อนบ้าน นโยบายในการเปิดเศรษฐกิจด้วยความระมัดระวังถี่ถ้วนเป็นสิ่งดี แต่หากมีการระบาดอีกรอบหนึ่งในไทยหรือจีน หากจังหวะเวลานั้นใกล้เคียงกับภาวะวิกฤติของการเมืองอเมริกัน (จีนก็มีการประชุมสภาฯใหญ่เดือนนี้ การเมืองอาจวุ่นบ้าง) ผลกระทบทางลบจะถึงทุกคน ตั้งแต่การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จนถึงผู้หาเช้ากินค่ำระดับรากหญ้า
สิ่งที่เราทำได้ตอนนี้ก็คือมีสติ ลงทุนตามสัดส่วนที่รับได้หากเสียหาย เช่น หุ้นหรือธุรกิจที่เราลงทุนมีมูลค่าลดฮวบลงแบบข้ามคืน 30-40% จากนี้จนถึงสิ้นปีต้องมีวินัย แบ่งปันส่วนที่เหลือเป็นกองทุนสำรอง โอกาสที่จะหวนคืนสู่ตลาดหุ้นหรือธุรกิจอื่นในราคาลด discount จะมีแน่นอนครับ
ท่านที่พึ่งเกษียณราชการหรือธุรกิจเอกชนระยะนี้ ก่อนอื่นขอแสดงความยินดี แม้ว่าปีนี้จะเป็นปี ”พิเศษ” เรายิ้มรับสถานการณ์ทุกอย่างเต็มที่เต็มเปี่ยมเต็มใจครับ วางแผนในการรักษาสุขภาพให้ดีที่สุด ทั้งกายและใจ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำสมาธิและหาเวลาอยู่ในที่เงียบส่วนตัวเพื่อความสงบของใจ ให้โอกาสร่างกายฟื้นฟู แต่ละวันทีละน้อย การที่มีสุขภาพแข็งแรงไม่มีโรคร้าย และมีสุขภาพจิตเบิกบาน เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และสำคัญมากคือการให้เวลาคุณภาพกับคนใกล้ชิดและคนที่รัก รวมทั้งเพื่อนบ้านและสังคมที่เราต้องพึ่งพาอาศัยกันในยามทุกข์และสุข
ร่วมกันภาวนาว่าวิกฤติใหญ่ในโลก หากเกิดขึ้นก็ให้ผ่อนหนักเป็นเบา แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความสามัคคีของชาวไทยที่เราทำผลงานให้โลกเห็นแล้วในกรณีของการควบคุมโควิด-19 เรานำประสบการณ์นั้นมาปฏิบัติฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ เพื่อก้าวต่อด้วยความมั่นคงในอนาคตอันใกล้นี้ครับ
SOURCE : www.bangkokbiznews.com