นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าหลังจากกลุ่มบุญรอดบริวเวอรี่ เจ้าของธุรกิจสิงห์ และนายสันติ ภิรมย์ภักดี เข้าถือหุ้น บริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น สิงห์ เอสเตทฯ ทำให้บริษัทมีศักยภาพพัฒนาธุรกิจไปได้ทั้งในตลาดของไทยและต่างประเทศในกลุ่มอาเซียน
กลุ่มบุญรอดฯ ได้สั่งสมประสบการณ์ 80 ปี ที่อยู่ในธุรกิจหลัก คือผลิตเครื่องดื่มภายใต้แบรนด์สิงห์ และอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันมีทุนทรัพย์ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ตลอดจนมีสายสัมพันธ์กับพันธมิตรธุรกิจในหลายๆ กลุ่ม อีกทั้งมองแนวโน้มของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย มีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน รวมไปถึงภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคในขณะนี้ มีความมั่นใจมากขึ้น
พร้อมๆ กับการเปิดเผยความชัดเจนด้านการเพิ่มทุนจดทะเบียน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับหลักทรัพย์ของบริษัทที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์โดยเบื้องต้นมีความเป็นไปได้ที่จะขายหุ้นเพิ่มทุน (Private Placement : PP) ให้กับนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันมี นักลงทุนหลายรายให้ความสนใจลงทุนในประเทศไทย เพื่อเป็นประตูออกสู่ประเทศในกลุ่มอาเซียน
ในส่วนของแผนธุรกิจของบริษัทในเบื้องต้น จะพัฒนาบนที่ดินซึ่งบริษัทมีอยู่แล้วอย่างน้อย 3 โครงการ ประกอบด้วยที่ดิน 11 ไร่ บนถนนเพชรบุรีตัดใหม่-อโศกมนตรี มูลค่า 6 พันล้านบาท เป็นอาคารสำนักงาน ศูนย์ประชุม 4,000 ที่นั่ง ตลอดจนพื้นที่ค้าปลีก คิดเป็นพื้นที่รวมทั้งสิ้น 144,250 ตร.ม. และโรงแรม 6 ดาว ขนาดเล็ก เริ่มก่อสร้างไตรมาส 2 ปีหน้า
ส่วนที่ดิน 2 ไร่ บนถนนอโศกมนตรี จะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม สูง 39 ชั้น รวม 329 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,850 ล้านบาท ราคาขายเบื้องต้นคาดว่าจะเกิน 2 แสนบาทต่อตร.ม. และที่ดินบริเวณถนนประดิษฐ์มนูธรรม 30 ไร่เศษ พัฒนาเป็นบ้านจัดสรรสำหรับผู้มีรายได้สูง 16 ยูนิต พื้นที่ดินต่อยูนิตประมาณ 1 ไร่ มูลค่าโครงการรวม 2,240 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยต่อยูนิต 140 ล้านบาท
ปัจจุบันกลุ่มบุญรอดบริวเวอรี่ มีธุรกิจทั้งหมด 54 บริษัท โดยรายได้หลัก 65% ยังคงมาจากธุรกิจเครื่องดื่ม ส่วนอีก 35% เป็นรายได้นอกกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม พร้อมกับได้ปฏิเสธไม่ทราบกระแสข่าว บริษัทเตรียมเข้าซื้อกิจการ บริษัท เนเชอรัล พาร์ค จำกัด (มหาชน)
ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด