นายวรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ รองประธานบริหาร กลุ่มสีเบเยอร์ กล่าวว่า ผลกระทบจากปัญหาการเมืองในช่วงต้นปี และการชะลอตัวของเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆ โดยในช่วงที่ผ่านมามี โครงการอสังหาฯ โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่มีการลดจำนวนการเปิดตัวโครงการจำนวนมาก ขณะที่โครงการที่มีการเปิดตัวส่วนใหญ่เป็นโครงการต่อเนื่อง จึงส่งผลกระทบต่อตลาดสีในปี 2557 อย่างต่อเนื่องจนถึงขณะนี้ และส่งผล ต่อการขยายตัวของตลาดสีทาอาคารและงานไม้ ซึ่งคาดว่าจะติดลบจากปี 2556 กว่า 5-10% หรือคาดว่าทั้งปีมูลค่าตลาดรวมของสีทาอาคารและงานไม้จะอยู่ที่ 20,000-25,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดสีรีเพนต์ 75% และตลาดสีใหม่ 25%
สำหรับปี 57 นี้ บริษัทตั้งเป้าว่าจะมี ยอดขายรวม 4,600 ล้านบาท เติบโตจากปี 56 ซึ่งมียอดขายรวม 4,000 ล้านบาท 15% โดย 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายเติบโตจากปีที่แล้วปะมาณ 5-7% หรือมีการขยายตัวที่ส่วนกับทิศทางตลาดรวม เนื่องจากกลุ่มลูกค้าของเบเยอร์ เป็น กลุ่มตลาดบน และพรีเมียม ซึ่งไม่ได้รับผล กระทบจากปัญหาหนี้ครัวเรือน ภาวะเศรษฐกิจ และปัญหาการเมือง ขณะที่ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการหดตัวของตลาดสีในปีนี้เกิดจากการชะลอการใช้สีในตลาดล่าง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถผลักดันยอดขายให้ใกล้เคียงกับเป้ามากที่สุด โดยในไตรมาส 4 ของปีนี้ บริษัทจะเน้นการทำตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าตลาดบน และพรีเมียมผ่านกลยุทธ์การตลาด "Pop Up Color Marketing" โดยการนำนวัตกรรมสี 3ตัวหลักมาสร้างสีสันในการทาบ้าน ซึ่ง นวัตกรรมสีทั้ง 3 ตัว ประกอบด้วย
1. Beger BeYours การพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ยึดหลักความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค ช่วยให้เลือกสีทาบ้านได้งง่ายขึ้น ด้วยเครื่องขายสีหยอดเหรียญอัตโนมัติ ซึ่งจะเน้นการให้บริการผ่านระบบออนไลน์ 2. BegerShiel Art Effects นวัตกรรมสีสร้างลาย ด้วยผลิตภัณฑ์สีเบเยอร์ ชิลด์ อาร์ท เอฟเฟ็กต์ ซึ่งจะกระตุ้นให้ลูกค้าหันมาใช้สีในการตกแต่งบ้าน เพิ่มมากขึ้น และ 3. Wood Professional ซึ่งเป็นการยกระดับแบรนด์ผู้นำนวัตกรรมสีรักษ์โลกสู่ "เทรนดี้ เซอร์วิส อินโนเวชั่น" ภายใต้กลยุทธ์ "Convenience & confidence เพื่อให้บริการลูกค้าอย่างครบวงจรจากผู้เชี่ยวชาญด้านงานไม้มืออาชีพ ซึ่งมีโปรแกรมการรับประกัน 3 ปีจากบริษัทด้วย ที่มา : ASTV ผู้จัดการรายวัน