ผู้บริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ดีเด่นแห่งปี 2557 จัดอันดับโดย หนังสือพิมพ์ดอกเบี้ยธุรกิจ

แม้ภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในรอบปี 2557 ไม่แจ่มแจ๋วอย่างที่หลายคนคาดหวังไว้ นับตั้งแต่ต้นปีที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมือง ทำให้กำลังซื้อชะลอตัวทันตามเห็น เพราะผู้บริโภคไม่มีความเชื่อมั่นในสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจที่ถดถอย ฝ่ายผู้ประกอบการก็ชะลอการเปิดโครงการใหม่ไปโดยปริยาย ทั้งรายใหญ่ไปจนถึงรายย่อย เพราะดูทิศทางลมแล้ว ลงทุนไปก็ไม่คุ้ม

ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลังก็ไม่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างชัดเจน เพราะไม่มีปัจจัยบวกใดๆมาเกื้อหนุน มีเพียงผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่กี่บริษัท ที่จำเป็นต้องเปิดโครงการใหม่เพื่อกระตุ้นตลาดและพยายามหารายได้เข้าบริษัท ในบรรดาผู้ประกอบการที่พยายามฝ่าวิกฤตครั้งนี้อย่างไม่ย่อท้อ หน้า"เรียลเอสเตท ดอกเบี้ยธุรกิจ"จึงขอยกย่องให้เป็นผู้บริหารดีเด่นแห่งปี 2557

คุณโยธิน บุญดีเจริญ ประธานกรรมการ บริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด(มหาชน)

คุณโยธิน บุญดีเจริญ เป็นมือเก๋าของวงการมานาน อดีตเป็นผู้บริหารของบริษัท ยูนิเวสต์ฯ ปัจจุบันนั่งบริหารบริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการเบ็ล แกรนด์ พระราม 9 ซึ่งเป็นอาคารชุดที่อยู่อาศัยในโครงการเดอะ แกรนด์ พระราม 9 บริหารโดยบริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทได้เปิดให้จองอาคารที่ 8 ซึ่งเป็นอาคารสุดท้ายในโครงการเบ็ล จำนวน 316 ห้อง ปรากฏว่า เพียง 2 วัน มียอดจองมากกว่า 200 ห้อง คิดเป็นสัดส่วนถึง 2 ใน 3 ส่วนของจำนวนห้องทั้งหมด ซึ่งยอดจองที่สูงนั้นเป็นผลมาจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อโครงการ ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ GLAND ได้ประกาศเปิดตัวโครงการ The Super Tower อาคารสูง 615 เมตร 125 ชั้น ซึ่งเป็นตึกสูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียนและสูงติดอันดับหนึ่งในสิบของโลก

หลังจากที่ GLAND เปิดตัวโครงการ The Super Tower ไปแล้ว ซึ่งทั้งลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าที่กำลังเจรจากันอยู่ อีกทั้งลูกค้าในอนาคต ให้ความเชื่อมั่นว่าโครงการแกรนด์ พระราม 9 ว่าจะเป็นแม่เหล็กดึงดูดบริษัททั้งภายในประเทศ และบริษัทข้ามชาติเข้ามาตั้งสำนักงานในย่านนี้ ซึ่งจะทำให้ย่านพระราม 9 กลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจ หรือ CBD แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ได้อย่างแน่นอน

คุณโยธิน บุญดีเจริญ

Mega Project : The Super Tower by G LAND ตอกย้ำ NEW CBD @The Grand Rama9 TerraBKK นำเสนอ MEGA PROJECT : The Super Tower ตอกย้ำ NEW CBD @The Grand RAMA9 โปรเจคปลุกปั้นและเพิ่มเสนห์ให้กับทำเลย่านพระราม9 ให้สามารถเทียบชั้น สาธร-สุขุมวิท-เพลินจิต กับสุดยอด MEGA PROJECT ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียนและติด 1 ใน 10 ของโลก ด้วยความสูงถึง 125 ชั้น พื้นที่กว่า 320,000 ตารางเมตร บนทำเล The Grand Rama9 (สี่แยกพระราม9) ซึ่งจัดได้ว่าเป็น CBD (Central Business District) แห่งใหม่  ของกรุงเทพมหานครได้ในอนาคตอันใกล้

คุณทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)

แม้ปีนี้ยอดขายได้จะน้อยกว่าปี 2556 แต่พฤกษาก็สามารถทำยอดขายใน11 เดือนแรกเกิน 35,000 ล้านบาท หลังสิ้นเดือนตุลาคม บริษัททำยอดขายได้ 35,000 ล้านบาท บริษัทคาดว่ายอดขายทั้งปีจะใกล้เคียงเป้าหมายที่ตั้งไว้ 43,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโครงการที่จะเปิดในเดือนสุดท้ายของปีนี้อีก 6-7 โครงการ จากที่ไตรมาส 4 เปิดอีก 10 โครงการ มูลค่า 9,600 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทได้ลงทุนสร้างโรงงานพรีคาสต์แห่งใหม่เพิ่มเป็น 2 โรงงาน บนพื้นที่ 130 ไร่ ใช้เงินลงทุนถึง 2,300 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันงานก่อสร้างคืบหน้าไปแล้วกว่า 80% ซึ่งทั้ง 2 โรงงานใหม่ มีกำลังการผลิตบ้านประมาณ 480 หลังต่อเดือน ปัจจุบันใช้กำลังผลิต 60% ของกำลังการผลิตทั้งหมด และเมื่อรวมกับ 5 โรงงานเดิมที่ลำลูกกา ซึ่งมีกำลังการผลิต 640 หลังต่อเดือน ทำให้ความสามารถในการผลิตบ้านต่อเดือนสูงถึง 1,120 หลัง และสอดรับต่อแผนการเปิดโครงการใหม่ ทั้งนี้ การใช้เทคโนโลยีพรีคาสต์ ทำให้การส่งมอบบ้านลดลงจากเดิมราว 100 วัน ลงมาอยู่เฉลี่ยที่ 90 วัน ช่วยให้โครงการของบริษัทมีการส่งมอบบ้านได้เร็วขึ้น ส่วนแนวทางที่พฤกษาดำเนินการนั้นก็มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์มาตลอด

คุณทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์

คุณอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)

แสนสิริเป็นคู่แข่งโดยตรงกับพฤกษามาตลอด 2-3ปีที่ผ่านมา ในช่วงต้นปี 2557 สถานการณ์ทั้งเศรษฐกิจและการเมืองไม่ดี บริษัทได้วางแผนการดำเนินงานอย่างระมัดระวัง โดยไม่เน้นการเร่งสร้างยอดขาย แต่หันมาให้ความสำคัญกับการสร้างยอดรับรู้รายได้จากการบริหารจัดการสต็อกสินค้าที่อยู่อาศัยทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียมให้สามารถสร้างรายได้แก่บริษัท ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย 116 โครงการ มูลค่า 146,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโด 61 โครงการ บ้านเดี่ยว 33 โครงการ และทาวเฮาส์ 23 โครงการ ในจำนวนนี้ขายไปได้แล้ว 58% ปัจจุบันมีสินค้าเหลือขายประมาณ 62,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นบ้านสร้างเสร็จพร้อมโอนมูลค่า 8,000 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 3,000 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ 1,500 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นคอนโดมิเนียม 3,500 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับการก่อสร้างเพื่อให้สามารถส่งมอบได้ตรงตามสัญญา ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ (backlog) ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างและส่งมอบกว่า 53,900 ล้านบาท โดยจะสามารถทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 29,500 ล้านบาท ปี 2558 จำนวน 23,000 ล้านบาท ปี 2559 ประมาณ 10,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือรับรู้ในปี 2560 แม้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทเน้นการสร้างก่อนขาย ทำให้มีสินค้าคงค้างในสต็อกเป็นจำนวนมาก และเมื่อเจอเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองและภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้ต้องปรับแผนการดำเนินงาน โดยเน้นระบายสินค้าที่มีอยู่ในมือ เพื่อเร่งสร้างการรับรู้รายได้ให้เร็วขึ้น และลดภาระหนี้ ที่ปัจจุบันมีหนี้สินต่อทุน 2.14 : 1

คุณอภิชาติ จูตระกูล

คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีซีซีแลนด์ กรุ๊ป

"เจ้าสัวเจริญ"ได้รับการยอมรับว่าเป็นเจ้าพ่อแห่งการเทคโอเวอร์และประมูลที่ดินรายใหญ่ของเมืองไทย ทีซีซีแลนด์มีธุรกิจพัฒนาที่ดินครอบคลุมทั้งอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์ แบ่งเป็นธุรกิจ 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ โรงแรม อาคารสำนักงาน ที่อยู่อาศัยและรีเทล ปัจจุบันกลุ่มรีเทลมีรายได้ 1,500 ล้านบาทต่อปี แม้จะชนะประมูลโครงการเวิ้งนาครเขษม เนื้อที่ 14 ไร่ บนถนนเจริญกรุง ซอย 8 และ 10 ที่บริษัทซื้อไปด้วยวงเงิน 4,500 ล้านบาท หลายปีแล้ว แต่ล่าสุดบริษัทจำเป็นต้องเบรกการลงทุนไว้ก่อน จนกว่าจะได้ข้อสรุปเรื่องเงื่อนไขการเช่ากับผู้เช่ารายเดิมที่ยังมีปัญหาในปัจจุบันและยังเจรจาไม่แล้วเสร็จ จากเดิมวางแผนจะพัฒนาพื้นที่ติดตลาดปีระกาก่อน จะสร้างอาคารจอดรถสูง 10 ชั้น ลงทุน 1,000 ล้านบาท และปรับปรุงตึกแถวเก่าจำนวน 700 คูหาใหม่ มูลค่า 3,000-4,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ในปี 2557 ก็ชนะประมูลที่ดินโรงเรียนเตรียมทหารเดิม ซึ่งเป็นที่ดินแปลงงาม ที่มีผู้เข้าร่วมประมูลล้วนเป็นยักษ์ของวงการอสังหาริมทรัพย์

อีกทั้งเตรียมเม็ดเงินลงทุน 12,000 ล้านบาท ลงทุนธุรกิจรีเทลในปี 2558-2562 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า แบ่งเป็นพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์เอเชียทีค 3 โครงการมูลค่า 4,000 ล้านบาท แบรนด์เกตเวย์ 1 โครงการ 2,000-25,00 ล้านบาท และรีโมเดลศูนย์การค้าเกตเวย์ เอกมัย และรีแบรนด์ดิจิตอล เกตเวย์ สยามสแควร์ อีก 650 ล้านบาท ส่วนแผนระยะยาวจะลงทุนโครงการเอเชียทีค 2 ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งเจริญนคร อีก 5,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ได้รีแบรนด์และปรับโฉมดิจิตอล เกตเวย์ สยามสแควร์ใหม่ทั้งหมด นำแบรนด์เซ็นเตอร์พอยต์ ออฟ สยามสแควร์ กลับมาใช้แทน และปรับพื้นที่ขายกว่า 4,000 ตารางเมตร จากเดิมเน้นสินค้าไอทีมาเป็นสินค้าความงาม เช่น เครื่องสำอาง จับลูกค้าวัยรุ่นอายุ 15-25 ปีที่เป็นผู้หญิงเป็นหลัก

นอกจากนี้ศูนย์การค้าเกตเวย์ เอกมัย ได้เปลี่ยนโมเดลธุรกิจให้เป็นช็อปปิ้งคอมมิวนิตี้เซ็นเตอร์แนวสูง เป็นลูกผสมระหว่างคอมมิวนิตี้มอลล์กับช็อปปิ้งเซ็นเตอร์ เช่น ร้านค้า ร้านอาหาร ธนาคาร มาไว้ในพื้นที่ 35,000 ตารางเมตร ให้ตอบโจทย์ลูกค้าที่อาศัยอยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตร มากขึ้น หากประสบความสำเร็จจะพัฒนาเกตเวย์ 2 ในกรุงเทพฯและปริมณฑล มูลค่า 2,000-2,500 ล้านบาท อีกทั้งยังมีแผนพัฒนาโครงการเอเชียทีคเฟส 2 บนที่ดิน 16 ไร่ บริเวณลานจอดรถติดกับเฟสแรก จะพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส มีค้าปลีก โรงแรม 300-400 ห้อง และศูนย์ประชุมสัมมนา พร้อมอาคารจอดรถ 1,200 คัน ลงทุน 3,000 ล้านบาท จะก่อสร้างเสร็จปลายปี 2559 จากนั้นจะพัฒนาโครงการเอเชียทีค ไพรม์ บนที่ดิน 16 ไร่ ที่หัวหินและพัทยา รูปแบบโครงการจะเล็กกว่าที่เจริญกรุง ส่วนโครงการเอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ ฝั่งเจริญนคร พื้นที่ 30 ไร่ มูลค่า 5,000 ล้านบาท จะชะลอเป็นเฟสที่ 3 จะพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส มีค้าปลีก โรงแรม 2 โรง และศูนย์การประชุม และสร้างเคเบิลคาร์เชื่อมโครงการริม 2 ฝั่งแม่น้ำเข้าด้วยกัน ขณะที่เฟส 4 มีเนื้อที่ 30 ไร่ ฝั่งตรงข้ามโครงการในเฟสแรก อยู่ระหว่างการออกแบบ

คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี

คุณปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน)

ช.การช่างเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ของเมืองไทยมาช้านาน โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ที่บริษัทมักจะชนะประมูลเสมอๆ หลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดินหน้าโครงการระบบโครงสร้างพื้นฐาน มูลค่า 2.4 ล้านล้านบาท จะส่งผลให้อุตสาหกรรมก่อสร้างคึกคักขึ้น ซึ่งบริษัทมีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการเข้าร่วมประมูลงานก่อสร้างต่างๆ และงานลงทุนพัฒนาโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานของรัฐ ตามแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศไทยของ คสช. เช่น โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสายต่างๆ โครงการรถไฟฟ้าทางคู่ โครงการทางด่วน และมอเตอร์เวย์ โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึก โครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ โครงการเขื่อนและโรงไฟฟ้า โครงการบริหารจัดการน้ำในการเข้าร่วมลงทุนดำเนินการกับภาครัฐในโครงการสาธารณูปโภคซึ่งเป็นจุดเด่นของบริษัท บริษัทสามารถร่วมพัฒนาโครงการกับบริษัทในกลุ่ม เช่น BECL, TTW, BMCL และ CKP และขณะนี้บริษัทได้เสริมความแข็งแกร่ง และเตรียมความพร้อมไว้อย่างเต็มที่ ทั้งในด้านของกำลังคน ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ สามารถลงทุนดำเนินการได้ทันทีทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะการแข่งขันใน AEC ซึ่งบริษัทจะมุ่งเน้นไปที่ประเทศลาว และพม่า ซึ่งบริษัทมีความคุ้นเคยเป็นอย่างมาก

ขณะที่ความคืบหน้าของการก่อสร้างโครงการใหญ่ล้วนเป็นไปตามแผน เช่น งานก่อสร้างสถานีและอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน ก้าวหน้า 57.8% งานก่อสร้างสถานี และทางวิ่งรถไฟฟ้าสายสีเขียว ก้าวหน้า 43.8% งานก่อสร้างทางด่วนศรีรัช-วงแหวน ก้าวหน้า 18.1% โครงการผลิตไฟฟ้าฝายไซยะบุรีใน สปป.ลาว ก้าวหน้า 39% รวมถึงงานจัดซื้อระบบรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งจะเริ่มผลิตขบวนรถในประเทศญี่ปุ่นปลายปีนี้ และจะส่งมอบถึงไทยในปลายปี 2558 เพื่อติดตั้งและทดสอบระบบ ในส่วนของการลงทุนในบริษัทต่างๆ เช่น บริษัททางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BECL, บริษัทน้ำประปาไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TTW, บริษัทซีเคพาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP ล้วนมีผลประกอบการที่ดีสร้างกำไร และเงินปันผล ทั้งนี้ การเติบโตของธุรกิจพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาประเทศมีแนวโน้มเติบโตอย่างมาก คาดว่า ผลประกอบการของบริษัทรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL จะมีกำไรในอีก 1 ถึง 2 ปีข้างหน้า ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง คาดว่าจะเปิดให้บริการได้กลางปี 2559 เร็วกว่าแผน และมีโอกาสเป็นอย่างมากที่จะเป็นผู้ให้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ทำให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้ความสนใจอย่างมาก

คุณปลิว ตรีวิศวเวทย์

คุณอังคณา ปิลันธน์โอวาท ไชยมนัส กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)

ในแวดวงการเงินปี2557 ไม่คึกคักเหมือนหลายปีที่ผ่าน แต่ธนาคารอาคารสงเคราะห์มั่นใจยอดปล่อยสินเชื่อใหม่จะเป็นไปตามเป้าที่ 134,000 ล้านบาท จากปัจจุบันปล่อยไปแล้ว 96,451 ล้านบาท คิดเป็น 72% ของเป้าสินเชื่อทั้งปี ซึ่งธนาคารได้มีการออกแคมเปญใหม่ๆเพื่อกระตุ้นตลาดให้คึกคัก โดยจะเน้นผู้มีรายได้ปานกลางและรายได้น้อยให้เข้าถึงแหล่งเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น หลังจากนี้ไปธนาคารจะมีแคมเปญออกมาเป็นระยะๆ เพราะในช่วงไตรมาสสุดท้ายการแข่งขันด้านสินเชื่อจะมีความรุนแรง แต่ธนาคารจะแข่งขันในรูปแบบการให้บริการและเข้าถึงประชาชน เช่น ออกแคมเปญ “61 ปี ธอส. เติมเต็มสุขเพื่อบ้าน เพื่อคนไทย” กับสินเชื่อบ้าน 61 ปี ธอส. โดยมีอัตราดอกเบี้ย 1.61% ต่อปี นาน 6 เดือน วงเงินกู้รายละไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของภาครัฐที่ต้องการให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ดำเนินตามพันธกิจหลักในการสร้างโอกาสให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลางสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ที่อยู่อาศัยอัตราดอกเบี้ยต่ำ

สำหรับโครงการสินเชื่อ ธอส. มีบ้าน มีสุข 2 นับเป็นอีกหนึ่งแคมเปญคืนความสุขที่ ธอส.ตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อตอบแทนลูกค้าในโอกาสครบรอบ 61 ปี จากกระแสตอบรับอย่างล้นหลามในโครงการสินเชื่อ ธอส.มีบ้าน มีสุข รอบแรก ซึ่งเปิดยื่นคำขอกู้ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2557 และสิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ที่ผ่านมา ภายใต้กรอบวงเงิน 5,000 ล้านบาท ธนาคารจึงได้เตรียมวงเงินอีก 5,000 ล้านบาท สำหรับให้บริการพี่น้องประชาชน เพื่อสร้างโอกาสด้านที่อยู่อาศัย และมั่นใจว่าการเพิ่มวงเงินอีก 5,000 ล้านบาทในครั้งนี้ จะมีลูกค้าประชาชนให้การตอบรับอย่างดีเช่นเดิม รวมทั้งออกแคมเปญช่วยประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้อีกด้วย

คุณอังคณา ปิลันธน์โอวาท

คุณประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัยจำกัด (มหาชน)

ศุภาลัยเป็นบริษัทที่อยู่ในวงการมากว่า20 ปี โดยเฉพาะแผนการลงทุนพัฒนาปี 2557 ที่ลงทุนไป 27 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งจะกระจายการลงทุนทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัด นอกจากนี้ยังเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในต่างจังหวัดจากปัจจุบันมีอยู่กว่า 20% ของพอร์ตลงทุนทั้งหมด ซึ่งจะเพิ่มเป็นกว่า 30% ในปีนี้2557 ขณะนี้บริษัทมีที่ดินรอพัฒนาแล้ว 30 แปลง สามารถพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่ารวมกว่า 30,000 ล้านบาท ล่าสุดได้เข้าไปลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศออสเตรเลีย ด้วยการร่วมทุนกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของออสเตรเลีย บริษัท แซทเทอร์เลย์ พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป โดยเริ่มพัฒนาบ้านเดี่ยว 2 โครงการระดับราคา 10-20 ล้านบาทต่อยูนิต ใน 2 โครงการคือที่เมล์เบิร์น>

คุณประทีป ตั้งมติธรรม

5 บิ๊กแบรนด์อสังหาฯ กับโครงการปี 2557 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2557 เป็นอีกปีหนึ่งที่มีความท้าทายสูงมาก ทั้งปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองที่ต่อเนื่องมาจากปลายปี 2556 และปัญหาเรื่องหนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ธนาคารเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อ ลูกค้าหลายรายประสบปัญหากู้ไม่ผ่าน ส่งผลโดยตรงต่อยอดรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ในปีนี้หลายบริษัทชะลอการเปิดตัวโครงการลง โดยเฉพาะในช่วงต้นปีที่จะเห็นได้ว่ามีโครงการใหม่ออกสู่ตลาดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

คุณกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี

แม้ผลประกอบการในปี2557 จะถดถอย ตามภาวะเศรษฐกิจ งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจี ในไตรมาสที่3 ปี 2557 มีรายได้จากการขาย 124,275 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายของธุรกิจเคมีภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่รายได้จากการขายใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน มีกำไรสำหรับงวด 7,846 ล้านบาท ลดลง 20 %จากปีก่อน เนื่องจากในไตรมาสที่3 ปี 2556 มีกำไรจากรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ 1,701 ล้านบาท จากการปรับมูลค่าเงินลงทุนในบริษัทสยามซานิทารีแวร์ จำกัด และบริษัทสยามซานิทารีฟิตติ้งส์ จำกัด และจากการขายเงินลงทุนในบริษัทโตโต้ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ให้กับ TOTO Group เศรษฐกิจไทยไม่สดใส จึงได้มีการปรับแผนใหม่เน้นการส่งออกและไปลงทุนต่างประเทศ

ธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียน นอกเหนือจากประเทศไทย ใน 9 เดือนแรกของปี 2557 มีรายได้จากการขาย 32,565 ล้านบาท คิดเป็น 9 %ของรายได้รวม เพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ 3ของปี 2557 ธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียนมีรายได้จากการขาย 11,204 ล้านบาท คิดเป็น 9% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการขายที่เพิ่มขึ้นของ Vina Kraft ผู้ผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในเวียดนาม และ Prime Group ผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิกรายใหญ่สุดของเวียดนาม รวมถึงคอนกรีตผสมเสร็จและปูนซีเมนต์ในกัมพูชา

เอสซีจี มีสินทรัพย์รวมในอาเซียน นอกเหนือจากประเทศไทย ณ วันที่ 30 กันยายน 2557 มูลค่า 79,235 ล้านบาท หรือประมาณ 17% ของสินทรัพย์รวมของบริษัทสินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 กันยายน 2557 มีมูลค่า 473,405 ล้าน

คุณกานต์ ตระกูลฮุน

คุณทิฆัมพร เปล่งศรีสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)

แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์เป็นเจ้าตลาดคอนโดมิเนียมระดับกลาง-ล่างมาตลอดกว่า 20ปี แม้ปี2557 จะเปิดโครงการใหม่น้อยกว่าทุกปีที่ผ่านมา เพราะมีความระมัดระวังการลงทุนในช่วงที่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยต้องเผชิญกับความเสี่ยงรอบด้าน ตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2557 ลดลงจากปี 2556 ปี 2557 บริษัทตั้งเป้ารายได้ และยอดขายจะเติบโตประมาณ 10% จาก 2556 โดยคาดว่าจะมียอดขาย 26,400 ล้านบาท และรายได้ประมาณ 15,200 ล้านบาท จากปี 2556 ที่มีรายได้ต่ำกว่าเป้าที่ 14,000 ล้านบาทเล็กน้อย แต่มียอดขาย 24,000 ล้านบาทสูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 20,000 ล้านบาท ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (backlog) ประมาณ 21,000 ล้านบาท รับรู้รายได้ในปี2557 ประมาณ 7,600 ล้านบาท แต่บริษัทพยายามไปให้ถึงเป้ารายได้ที่ตั้งไว้ เพื่อพยายามผลักดันรายได้จากโครงการใหม่อีกไม่ต่ำกว่า 7,000 ล้านบาท บริษัทจึงเน้นเปิดโครงการใหม่ในช่วงไตรมาสแรกขอปีถึง 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 7,000 ล้านบาท กำหนดสร้างแล้วเสร็จและส่งมอบได้ภายในปี 2557 ส่วนอีก 7 โครงการ ทยอยเปิดในช่วงที่เหลือของปี และมีกำหนดสร้างแล้วเสร็จและส่งมอบภายในปี 2558 จุดเด่นของบริษัทก็คือการตั้งชุมชนเข้มแข็งในทุกโครงการ

คุณทิฆัมพร เปล่งศรีสุข

คุณทิพาภรณ์ เจียรวนนท์ กรรมการและประธานบริหาร บริษัท ดิ ไอคอนสยาม ซูเปอร์ลักซ์ เรสซิเดนซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด

ซีพี กรุ๊ปได้ขยายธุรกิจมายังอสังหาริมทรัพย์ โดยมีบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวลอปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัดเป็นหัวหอกในการพัฒนามาแล้วหลายปีแล้ว แต่ก็ดูจะไปแบบเรียบๆ ไม่หวือหวาอะไร เพิ่งจะมาฮือฮากับบริษัท ดิไอคอนสยาม ซูเปอร์ลักซ์ เรสซิเดนซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัดเมื่อเปิดโครงการไอคอนสยาม ซึ่งร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัท สยามพวรรธ์ จำกัดเจ้าของโครงการสยามพารากอน เพื่อสร้างศูนย์การค้าขนาดใหญ่ภายในโครงการ ให้ยิ่งใหญ่เท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย ส่วนโครงการที่อยู่อาศัย ที่ดำเนินการโดยบริษัท แมโนเลียฯคือโครงการ แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟรอนท์ เรสซิเดนซ์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 50 ไร่ ของโครงการไอคอนสยามอาคารสูง 70 ชั้น จำนวน 379 ยูนิต ซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ระยะทางยาวกว่า 400 เมตร ซึ่งเปิดตัวโครงการ และห้องตัวอย่างในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

คุณทิพาภรณ์ เจียรวนนท์

โครงข่ายสายสัมพันธ์คนอสังหาฯ TerraBKK ได้รวบรวมโครงข่ายความสัมพันธ์บุคคลในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งในส่วนของทีมบริหารและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในแต่ละบริษัท เพื่อดูว่าแต่ละตระกูลได้ก่อตั้งบริษัทอะไรบ้าง บางบริษัทอาจจะมีความสัมพันธ์กันในทางเครือญาติบางบริษัทอาจจะเป็นธุรกิจครอบครัวแล้วร่วมมือกันทำขึ้นมา โดยทาง TerraBKK ได้รวบรวมข้อมูลและอ้างอิงข้อมูลจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีรายละเอียดความสัมพันธ์ของแต่ละตระกูล ดังนี้

10 มหาเศรษฐี "รวยที่สุด" ในประเทศไทย ทำธุรกิจอะไร TerraBKK Research นำเสนอ Top10 มหาเศรษฐีในประเทศไทย" จากการจัดอันดับของ"Forbes Thailand"  ใครแต่ละคนทำธุรกิจอะไรกัน ติดตามได้ดังต่อไปนี้...

ที่มา : www.dbbnews.com

สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มเติมได้ที่ : www.TerraBKK.com

Facebook : TerraBKK Facebook

Google+ : TerraBKK Google+

Twitter : TerraBKK Twitter