ซีอีโอโลกขยับอันดับลงทุนไทย
ผลสำรวจไพร้ซฯชี้อานุภาพเออีซีทรงพลัง
“ไพร้ซวอเตอร์เฮ้าส์คูเปอร์ส” สำรวจเสียงซีอีโอ มั่นใจอาเซียนขยายตัวรับเออีซี ยกไทยขยับขึ้นอันดับ 4 ตลาดน่าลงทุน จากอันดับ 6 ปีก่อน โพลบ่งชี้อุปสรรคสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจในอาเซียน ที่ซีอีโอกังวลมากที่สุดคือปัญหาสินบนและคอร์รัปชัน ขณะที่ซีอีโอเกินครึ่งเชื่อรายได้ของธุรกิจจะโตต่ออีก 3 ปีติด
นายศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร และหุ้นส่วน ไพร้ซวอเตอร์เฮ้าส์คูเปอร์ส หรือ PwC ประเทศไทย ผู้ให้บริการด้านตรวจสอบบัญชี ภาษี และบริการให้คำปรึกษาทางธุรกิจรายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า จากการสำรวจ Global CEO Survey ครั้งที่ 18 ที่ใช้ในการประชุม World Economic Forum หรือ WEF ประจำปี 58 ซึ่งสำรวจความคิดเห็นซีอีโอทั่วโลก 1,322 คน ใน 77 ประเทศ พบว่า ซีอีโอหรือผู้นำธุรกิจในอาเซียนถึง 49% มองว่าเศรษฐกิจโลกจะปรับตัวดีขึ้นในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ส่วนเศรษฐกิจอาเซียนปี 58 มองว่าจะเติบโตได้มากกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากได้แรงสนับสนุนจากการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก และภายหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) น่าจะดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเข้ามาในอาเซียนได้เพิ่มมากขึ้น เพราะภูมิภาค อาเซียนถือเป็นฐานการผลิตสำคัญของหลายอุตสาหกรรม ขณะที่การขยายตัวของสังคมเมืองและกำลังซื้อของชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาค
ส่วนอุปสรรคสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจในอาเซียนที่บรรดาซีอีโอกังวลมากที่สุดคือ ปัญหาการติดสินบนและคอร์รัปชันที่ซีอีโอให้ความกังวลมากที่สุดถึง 79% ตามด้วยปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ 78% ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ซีอีโอมองว่ามีผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายมากที่สุด ได้แก่ ความวุ่นวายทางการเมือง การจัดเก็บ และการผลักภาระภาษีที่เพิ่มขึ้น และการออกกฎหมายกฎระเบียบที่เข้มงวดเกินไป ขณะเดียวกัน ซีอีโออาเซียนถึง 47% เชื่อว่าปี 58 รายได้บริษัทจะเติบโตจากปีที่ผ่านมา และอีก 54% มองว่ารายได้จะเติบโตได้ต่อเนื่องไปอีก 3 ปี โดยตลาด สำคัญ 3 อันดับแรกที่ซีอีโออาเซียนมองว่าจะช่วยผลักดันให้รายได้ของธุรกิจให้เติบโต ได้แก่ จีน สหรัฐฯ และอินโดนีเซีย
นายศิระยังให้ความเห็นถึงเศรษฐกิจไทยปีนี้ ว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 4-4.5% ซึ่งเป็นผลจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐที่ดีขึ้น รวมถึงการท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัว แต่ปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องติดตามสำหรับประเทศไทยคือเสถียรภาพทางการเมืองในระยะยาวส่วนผลการสำรวจความเห็นเกี่ยวกับประเทศ ไทยพบว่า ประเทศไทยยังเป็นตลาดที่ธุรกิจชั้นนำทั่วโลกต่างให้ความสนใจเข้ามาลงทุนมากขึ้น
โดยปีนี้ประเทศไทยได้ขยับอันดับตลาดที่น่าลงทุนดีขึ้นมาอยู่ในอันดับ 4 ของตลาดที่น่าลงทุน นอกเหนือไปจากกลุ่ม BRIC (บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน) จากปีก่อนที่อยู่อันดับ 6 ขณะที่ประเทศที่ถือว่าเป็นตลาดที่น่าลงทุนอันดับ 1 คือ อินโดนีเซีย รองลงมา เม็กซิโก โคลอมเบีย
“ซีอีโออาเซียนยังมองว่า ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่รัฐบาลไทยจะผลักดันนโยบายเศรษฐกิจดิจิตอล โดยเตรียมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคการค้าได้อย่างมากในอนาคต ขณะที่การเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นั้น จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนมากขึ้นและจะทำให้ไทยผงาดขึ้นมาอย่างโดดเด่นแม้จะมีปัญหาทางการเมืองที่เป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้”
นายศิระยังกล่าวว่า การเปิดเออีซีจะส่งผลให้ประเทศอาเซียนได้รับผลดีจากตลาดที่ใหญ่ขึ้น โดยซีอีโออาเซียนเกือบ 60% มองว่า ในอีก 3 ปีข้างหน้า องค์กรของตนจะขยายหรือต่อยอดธุรกิจหลักไปในธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและกระจายความเสี่ยงให้แก่บริษัท โดยการหาพันธมิตร ธุรกิจร่วมทุน (Joint ventures) และความร่วมมือกันทางการค้าในรูปแบบอื่นๆ จะยังเป็นกลยุทธ์ หลักในการดำเนินธุรกิจของซีอีโอภูมิภาคนี้.
ขอบคุณข้อมูลจาก : ไทยรัฐออนไลน์
Discussion
Follow breaking news Investment property articles on Facebook, click here.