จุดผ่อนปรนทางการค้าไทย-เมียนมาร์ สิงขรที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีมูลค่าทางการค้าเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดทุกปี หลายฝ่ายต่างหวังว่าด่านแห่งนี้จะสามารถยกระดับเป็นด่านถาวรได้ภายในปลายปีนี้ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสให้กับนักธุรกิจไทยและเมียนมาร์มากขึ้น


บริเวณจุดผ่านแดนสิงขร ต.คลองวาฬ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เริ่มเห็นสิ่งปลูกสร้างมากขึ้นหลังช่วงที่ผ่านมามูลค่าการค้าชายแดนสูงขึ้นต่อเนื่องทำให้รัฐบาลทั้งไทยและเมียนมาร์ต่างพยายามผลักดันให้เป็นจุดผ่านแดนถาวร นายศุรอัฐ ณรงค์ฤทธิ์ ประธานหอการค้าจังหวัดประจวบคีรีขันธ์บอกว่าด้วยระยะทางที่ห่างจากเมืองมะริด เมืองประมงที่สำคัญของเมียนมาร์เพียง 200 กิโลเมตร ศักยภาพของด่านแห่งนี้จึงไม่เป็นเพียงช่องทางที่จะใช้ส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคของนักธุรกิจไทย แต่ยังเป็นโอกาสของนักธุรกิจเมียนมาร์ที่จะส่งอาหารทะเลมายังไทย ทั้งนี้ มีความพยายามมากกว่า 10 ปี ที่จะผลักดันด่านสิงขรให้เป็นจุดผ่านแดนถาวร จากที่เคยมีมูลค่าการค้าไม่ถึงสิบล้านบาทจนปัจจุบันการค้าชายแดนอยู่ที่ปีละกว่า 150-200 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดทุกปี แม้ว่าการนำเข้า-ส่งออกยังต้องใช้เวลาเดินเรื่องหลายวัน ภาวนา งามสุทธิ นายด่านศุลกากรประจวบคีรีขันธ์ ระบุหากเป็นจุดผ่อนปรนของด่านสิงขร ต้องมีการขออนุญาตนำเข้า-ส่งออกทุกครั้ง โดยอาศัยอำนาจของศุลกากร ขั้นตอนการนำเข้าส่งออกสินค้าบริเวณจุดผ่อนปรนเริ่มต้นที่การยื่นเอกสารที่ศุลกากร จากนั้นศุลกากรจะแจ้งข้อมูลการนำเข้าส่งออกไปไปยังหน่วยงาน 3 แห่ง คือ จังหวัด ตำรวจตระเวนชายแดน และหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบ ก่อนที่จะตรวจสอบสินค้าและปริมาณ และพิจารณาอนุญาต ซึ่งต้องใช้เวลา 3-7 วัน โดยผู้ประกอบการต้องยื่นเรื่องใหม่ทุกครั้งที่มีการนำเข้าส่งออก แต่หากเป็นจุดผ่านแดนถาวรนายด่านศุลกากรมีอำนาจตรวจสอบสินค้าและพิจารณาอนุมัติได้ทันทีภายใน 1 วัน ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการได้มาก การยกระดับเป็นจุดผ่านแดนถาวรในปีนี้ดูใกล้จะเป็นจริงที่สุดหลังนายกรัฐมนตรีของไทยเดินทางเยือนประเทศเมียนมาร์เมื่อปลายปีที่แล้ว และเห็นชอบร่วมกับประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ในการยกระดับเป็นจุดผ่านแดนถาวร ซึ่งขณะนี้มีการสำรวจสภาพภูมิประเทศร่วมกันแล้วเหลือเพียงแต่รอการลงนามรับรองจากทางการเมียนมาร์ ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่าจะเสร็จสิ้นทันปลายปีนี้

หมายเหตุ : ภาพประกอบบทความ บางภาพไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาแต่อย่างใด Photo credit by : manager.co.th

ขอบคุณข้อมูลจาก : Thai PBS