นาย สุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) กล่าวว่า ตามที่กระทรวงการคลังเตรียมเสนอร่างแก้ไข พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยกำหนดอัตราการเก็บภาษีพื้นที่เชิงพาณิชย์ไว้อัตรา 0.5-2% ของมูลค่าประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หากภาครัฐกำหนดอัตราเก็บภาษีไว้ที่ 2% จะทำให้มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการโรงแรม โดยเฉพาะโรงแรมในทำเลที่ราคาประเมินที่ดินสูง เช่น สีลม สาทร และพระราม 1

"อัตรา การเก็บภาษีใหม่จะมีการคำนวณจากราคาประเมินที่ดิน แทนที่จะประเมินจากรายได้หรือกำไรของโรงแรม ทางสมาคมโรงแรมจึงร่วมกับสมาคมอสังหาริมทรัพย์ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีกระทรวง การคลัง ขอให้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การปรับโครงสร้างภาษีใหม่เพื่อให้เกิดความเป็น ธรรม หากยึดตามโครงสร้างภาษีใหม่ที่เก็บสูงสุด 2% จากราคาประเมินที่ดิน ถือว่าไม่เป็นธรรมต่อโรงแรมกลางเมืองที่มีที่ดินราคาสูง เพราะต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น" นายสุรพงษ์กล่าว

นาย สัมพันธ์ แป้นพัฒน์ ที่ปรึกษาสมาคมโรงแรมไทย กล่าวว่า หากรัฐกำหนดอัตราเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ที่ 2% จะทำให้ค่าใช้จ่ายภาษีธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากเดิมเก็บภาษีโรงเรือน 12.5% ของค่าเช่าห้องรวมรายปี เช่น บริษัทๆ หนึ่งเช่าตึกแถวราคา 5 พันบาทต่อเดือน ค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินที่จะต้องจ่ายปีนั้นประมาณ 7,500 บาท โดยนำค่าเช่าทั้งปีคูณอัตราภาษี 12.5%

"ที่ผ่านมาการเก็บภาษีโรง เรือนเป็นเรื่องของท้องถิ่น เอาความรู้สึกวัดถ้าสนิทก็เก็บน้อยหน่อย ถ้าไม่สนิทก็เก็บมากหน่อย อันนี้ก็ยอมรับว่าไม่เป็นธรรมกับหลายๆ ฝ่าย แต่สำหรับอัตราภาษีใหม่ เชื่อว่าจะกระทบต่อโรงแรมในทำเลที่ดินที่มีราคาสูง โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯชั้นใน จะมีภาระการใช้จ่ายเพิ่ม แม้จะไม่มาก แต่หากเกิดขึ้นในภาวะที่การท่องเที่ยวไม่ดีก็น่าจะเป็นค่าใช้จ่ายที่โรงแรม ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น" นายสัมพันธ์กล่าว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: มติชน