ควานหาช่องทางล้างหนี้รถไฟ
“ธนารักษ์” พร้อมเจรจาเช่าที่ดินมักกะสันสัญญา 99 ปี
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมกรมธนารักษ์ว่า ได้มอบนโยบายให้กรมธนารักษ์ไปเร่งเจรจากับการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ขาดทุนสะสม ปัจจุบัน ร.ฟ.ท.มีหนี้สินอยู่ราว 110,000 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ เป็นหนี้จากการบริหารของ ร.ฟ.ท.ตามนโยบายรัฐบาล 50,000 ล้านบาท อีก 30,000 ล้านบาท หนี้สินจากการบริหารงานที่ขาดทุนสะสมของ ร.ฟ.ท. ดังนั้น รัฐบาลจึงมอบนโยบายให้กระทรวง การคลังเข้าไปเจรจาเพื่อแก้ไขหนี้สินให้แก่ ร.ฟ.ท. และที่เหลือ 30,000 ล้านบาท เป็นลูกหนี้ทางการค้าที่ ร.ฟ.ท.จะต้องสะสางเอง
“วันที่ 8 เม.ย.นี้ กรมธนารักษ์จะเจรจากับ ร.ฟ.ท.เพื่อรับโอน การบริหารที่ดินที่อยู่ภายใต้การดูแลของ ร.ฟ.ท. มาตีเป็นมูลค่า เบื้องต้นหนี้สิน ร.ฟ.ท.ราว 50,000 ล้านบาท กระทรวงการคลังจะร่วมรับผิดชอบ โดย ร.ฟ.ท.จะนำที่ดิน 1-2 แปลง มาให้กระทรวงการคลังเช่า เพื่อนำที่ดินดังกล่าวไปบริหารและเพิ่มมูลค่า ซึ่งขณะนี้ จะนำที่ดินย่านมักกะสัน 490 ไร่ มาตีมูลค่าที่แท้จริงก่อนเป็นแปลงแรก หลังจากนั้นก็จะคำนวณค่าเช่าหักล้างกับหนี้สิน แต่หากที่ดินแปลงนี้มีมูลค่าไม่เพียงพอ 50,000 ล้านบาท ก็จะเพิ่ม ที่ดินแปลงอื่นๆ เช่น ที่ดินของสถานีรถไฟแม่น้ำ เป็นต้น”
นายวิสุทธิ์กล่าวว่า ก่อนหน้ารัฐบาลมีนโยบายขายที่ดินของ ร.ฟ.ท.ให้แก่กระทรวงการคลัง แต่นโยบายใหม่ของรัฐบาล ให้เปลี่ยนจากการขายเป็นการเช่าแทน ซึ่งจะทำให้กรรมสิทธิ์ที่ดินยังอยู่ที่ ร.ฟ.ท.ต่อไป ในส่วนกระทรวงการคลังจะมอบให้กรมธนารักษ์เข้าไปบริหารและพัฒนาที่ดินในฐานะผู้เช่า นอกจากนี้รัฐบาลยังมีนโยบายในการบริหารที่ดินตรงบริเวณมักกะสันให้เกิดประโยชน์แก่สังคม เช่น สวนสาธารณะ เป็นต้น การพัฒนาที่ดินเพื่อให้เป็นแก้มลิงแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ หลังจากนั้นจะพิจารณาถึงการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ
“การพัฒนาที่ดินโดยไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องผลกำไร สัญญาเช่าที่ดินเพื่อหักล้างกับหนี้ 50,000 ล้านบาท อาจไม่ใช่สัญญาเช่า 20-25 ปี แต่อาจยาวนานถึง 99 ปี หรือมากกว่านั้น เพราะพื้นที่ ที่ใหญ่มากๆไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ เช่น สวน สาธารณะ และแก้มลิง เป็นต้น ทำให้อัตราผลตอบแทนหรือกำไรที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมีน้อย ส่งผลให้การชำระหนี้ต้องใช้เวลาที่ยาวนานมากขึ้น”.
ขอบคุณข้อมูลจาก : ไทยรัฐออนไลน์
Discussion
Follow breaking news Investment property articles on Facebook, click here.