ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ได้เชิญภาคเอกชนมาหารือตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สั่งการ โดยมีสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เข้าร่วม โดย ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวว่า การหารือครั้งนี้เพื่อให้ภาคเอกชนมาบ่นอยู่ในวงแคบๆ พร้อมข้อเสนอ ที่ผ่านมาบางครั้งไปบ่นผิดที่ ตนเองเบื่ออาจจะตอบโต้ไปบ้าง บางทีก็หน้าหงาย และยังจะให้บ่นอีกหลายครั้งตราบใดที่ตนยังอยู่ในตำแหน่ง สำหรับประเด็นที่หารือ นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สำรวจพื้นที่จะปรับเปลี่ยนนาข้าวไปปลูกอ้อย 700,000 ไร่นั้น ได้ไปพิจารณาพื้นที่เพิ่มเติมพบว่า จะเพิ่มพื้นที่ปลูกอ้อยแทนนาข้าวได้เกิน 1 ล้านไร่ ซึ่งจะไปประสานกับกระทรวงเกษตรฯหากไม่ทับซ้อนกันจะมีพื้นที่รวมกว่า 1.8 ล้านไร่ แต่หากทับซ้อนกันก็จะได้พื้นที่ 1 ล้านไร่กว่า ส่วนเกษตรกรที่ปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวมาปลูกอ้อยแทน ทางโรงงานน้ำตาลจะทำสัญญาผูกพันรับซื้ออ้อยไว้ ส่วนเสียงบ่นต่อมาเป็นเรื่องของสินค้าไทยที่เป็นสินค้าคุณภาพสูงเกรดพรีเมี่ยมในสายตาของประเทศเพื่อนบ้านและจีน แต่ไม่มีการทำการตลาด จึงมอบหมายให้ รมว.อุตสาหกรรมไปกำหนดมาตรฐานเพื่อรับรองให้เป็นโปรดักซ์ออฟไทยแลนด์ แล้วจะทำการโปรโมตให้ต่างประเทศรับรู้
ขณะเดียวกันยังได้หารือถึงแนวทางการทำให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี เข้าถึงแหล่งทุน โดยให้สมาคมธนาคารไทยไปจัดทำรูปแบบเสนอมาเป็นแพ็กเกจ รวมทั้งจะดึงบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มาร่วมสนับสนุน นอกจากนี้ ข้อเสนอของ ส.อ.ท.ที่จะให้นิรโทษกรรมภาษีให้กับเอสเอ็มอี ได้มอบให้ ส.อ.ท.และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยปรึกษากับทางสมาคมวิชาชีพบัญชี ไปดำเนินการให้เอสเอ็มอีทำระบบบัญชีให้ถูกต้อง จะบ่นอย่างเดียวไม่ได้ จะได้คุยกันรู้เรื่อง เพราะถ้าไม่มีบัญชีให้ตรวจสอบได้จะเข้าระบบการช่วยเหลือดูแลได้อย่างไร.

ขอบคุณข้อมูลจาก : ไทยรัฐออนไลน์