ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งหนังสือวินิจฉัยตอกย้ำ รัฐไม่แยกท่อก๊าซก่อนแปรรูปขัดมติ ครม. ไม่คืนท่อในทะเลผิด ก.ม.แพ่ง ก.คลัง-พลังงานเอื้อประโยชน์ให้ ปตท. ยื่นรายงานเท็จต่อศาลฯ ฮุบสาธารณสมบัติ 6.8 หมื่นล้าน ชง "บื๊กตู่" ออกคำสั่งทบทวน-ทวงคืน... นายศรีราชา วงศารยางกูร ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้แจ้งผลการวินิจฉัย เรื่อง "การแบ่งแยกทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินคืนรัฐไม่ครบถ้วน" ในคดีแปรรูป ปตท. ถึงประธานกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาลวุฒิสภา เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2558 โดยสำนักงานวุฒิสภาได้รับเมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา หลังจากยื่นเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินวินิจฉัย ตั้งแต่ 3 พ.ย. 2554 สำหรับคำวินิจฉัยของประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ระบุว่า กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง และ ปตท. ดำเนินการผิดกฎหมายในสี่ประเด็น คือ 1.การที่กระทรวงการคลัง และกระทรวงพลังงานไม่ดำเนินการทบทวนการแบ่งแยกทรัพย์สินดังกล่าว ตามความเห็นและผลการตรวจสอบของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งคณะรัฐมนตรีมอบหมาย จึงเป็นการที่หน่วยงานดังกล่าวไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี 2.การกล่าวอ้างของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ในคำร้องที่ยื่นต่อศาลปกครองสูงสุดที่ว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้ดำเนินการตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดครบถ้วนแล้ว จึงเป็นการรายงานที่เป็นเท็จต่อศาลปกครองสูงสุด ที่ส่งผลต่อการพิจารณาการบังคับคดีของศาลปกครองสูงสุดในคดีนี้
3.ทรัพย์สินที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยรับโอนมาดังกล่าว และทรัพย์สินที่ได้มาจากการประกอบกิจการของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ตั้งแต่การก่อตั้งจนถึงวันที่ 1 ต.ค. 2544 ซึ่งเป็นวันแรกที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเปลี่ยนสภาพเป็น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเภททรัพย์สินใช้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ตามมาตรา 1304(3) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์... จึงอนุมานได้ว่า ระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อในทะเลเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน...และการที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ไม่ส่งมอบระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อให้กับกระทรวงการคลัง จึงขัดกับหลักการแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1305 ที่บัญญัติว่าทรัพย์สินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นจะโอนแก่กันมิได้ ดังนั้น ทรัพย์สินส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน มูลค่าสุทธิของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 30 กันยายน 2544 รวมทรัพย์สินสุทธิ 68,569.69 ล้านบาท ต้องโอนให้กระทรวงการคลังทั้งจำนวน 4.ข้อเท็จจริงแสดงให้เห็นว่า นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนสถานะจากการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ไปเป็นบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) .... ไม่ปรากฏว่า กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานได้ดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ให้กลับมาเป็นของแผ่นดิน หรือกระทรวงการคลังอย่างครบถ้วนแต่อย่างใด ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวจึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย อันเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดเอกสารคำวินิจฉัย ระบุต่อว่า กรณีดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ปฏิบัติหรือละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องเรียนโดยไม่เป็นธรรมตามกฎหมาย ตามมาตรา 13(1)(ก)(ข) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2552 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินยังมีความเห็นและข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรี และรองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจที่จะขอให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดำเนินการดังต่อไปนี้ 1) ทบทวนการแบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สิทธิการใช้ที่ดินเพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ ... และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินรับรองความถูกต้องการแบ่งแยกทรัพย์สินให้เป็นไปตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2550 2) แบ่งแยกทรัพย์สินและโอนทรัพย์สินของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ตามมูลค่าสุทธิ ณ วันที่ 30 กันยายน 2544 รวมทั้งจ่ายค่าตอบแทน ผลประโยชน์อื่นใดที่มาจากการใช้ทรัพย์สิน สิทธิหรือสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ที่บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ได้อาศัยใช้ประโยชน์ในการประกอบกิจการพร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายให้ครบถ้วนต่อไป 3) พิจารณานำข้อเท็จจริง ความเห็น และข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินไปเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาปฏิรูปพลังงานต่อไป อนึ่ง ปัญหาการแบ่งแยกทรัพย์สินของ ปตท. นอกจากผู้ตรวจการแผ่นดินจะทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีให้มีการทวงคืนท่อก๊าซในทะเลและสาธารณสมบัติอื่นที่ ปตท. ยังคืนไม่ครบมูลค่ากว่า 6.8 หมื่นล้านบาทแล้ว ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินยังได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ให้ทวงคืนสมบัติชาติดังกล่าวด้วย แต่เรื่องนี้กลับไม่มีความคืบหน้า โดยนายกรัฐมนตรีไม่ตัดสินใจ และโยนให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินไปปรึกษาข้อกฎหมายกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเวลาผ่านมาหลายเดือนแล้ว แต่ยังไม่มีความบทสรุปใดๆ ออกมา

ขอบคุณข้อมูลจาก : ไทยรัฐออนไลน์