ดัชนีเชื่อมั่นฯเมษายนร่วงต่ำรอบ10เดือน-ประชาชนส่อก่อหนี้เพิ่มอีก การบริโภคยังไร้แววฟื้น
การบริโภคในประเทศ ยังอาการไม่ดี ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย. ลดลงต่ำสุดในรอบ 10 เดือน ประชาชนห่วงค่าครองชีพสูง ซ้ำอยู่ช่วงเปิดเทอม ต้องกู้เงินส่งลูกเรียนอีก ชี้ทางออกเดียวรัฐต้องเร่งรัดเบิกจ่ายงบลงทุน ธปท.ลดดอกเบี้ยนโยบายอีกรอบ เพื่อดึงส่งออก และเศรษฐกิจให้โตได้ตามคาดการณ์
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน เม.ย. 2558 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เม.ย. อยู่ที่ระดับ 76.6 ซึ่งปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ในระดับ 77.7 โดยเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และยังต่ำสุดในรอบ 10 เดือน นับจากเดือน ก.ค. 2557 สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมลดลงจากระดับ 67.1 มาอยู่ที่ระดับ 66 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานลดลงจากระดับ 72 มาอยู่ที่ระดับ 71.2 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตลดลงจากระดับ 94 มาอยู่ที่ระดับ 92.7
ทั้งนี้การที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงเป็นผลมาจาก การที่ สศค.ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2558 ลง จาก 3.9% มาอยู่ที่ 3.7%, ราคาน้ำมันขายปลีกแก๊สโซฮอล์ออกเทน 91(E10) ปรับเพิ่มขึ้น 0.10 บาทต่อลิตร หรือจาก 27.58 บาทต่อลิตร ในสิ้นเดือน มี.ค. มาอยู่ที่ 27.68 บาทต่อลิตร ในสิ้นเดือนเม.ย., ราคาพืชผลทางการเกษตรที่ทรงตัวในระดับต่ำ โดยเฉพาะข้าว และยางพารา ทำให้รายได้เกษตรกรอยู่ในระดับต่ำ กำลังซื้อในต่างจังหวัดไม่ขยายตัว, ประชาชนกังวลเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพ และราคาสินค้าที่ยังทรงตัวในระดับสูง แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะติดลบ, ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจกระทบต่อการส่งออก และเศรษฐกิจไทย รวมถึงการส่งออกในเดือน มี.ค. ที่ติดลบ 4.45% แต่ก็มีปัจจัยบวกมาช่วยพยุงบ้าง ทั้งจากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 1.50% ต่อปี เพื่อพยุงเศรษฐกิจ และราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศปรับตัวลดลง
“ยอมรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังไม่มีสัญญาณดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเดือน พ.ค. ที่เป็นช่วงเปิดเทอมประชาชนจะมีค่าใช้จ่ายเรื่องบุตรหลานมีเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้เห็นสัญญาณการกู้เงินนอกระบบมากขึ้น ขณะเดียวกันแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อยังปรับตัวลดลงต่อเนื่อง และเห็นสัญญาณเงินฝืดทางเทคนิคส่งผลให้กำลังซื้อลดลงตามไปด้วย”
อย่างไรก็ตาม ทางศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ มองว่าในการเรียกความเชื่อมั่นกลับมา รัฐบาลควรเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณการลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย เพื่อกระจายเม็ดเงินลงสู่ระบบมากขึ้น ขณะเดียวกันธนาคารแห่งประเทศไทยควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งต่อไปอีกรอบ เพื่อดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในกรอบ 33.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะเอื้อให้การส่งออกและการท่องเที่ยวดีขึ้น แต่ทั้งนี้หากไม่มีการดำเนินการใดๆ ก็มองว่าอาจทำให้การส่งออกติดลบ และทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพียง 2.8-2.9% แม้ว่าขณะนี้หอการค้าไทยยังคงเป้าหมายเศรษฐกิจไทยปีนี้ไว้ที่ 3-3.2% และการส่งออกที่ 0.5% ไว้เช่นเดิมก็ตาม
นายธนวรรธน์กล่าวเพิ่มเติมถึงกรณีการแก้ปัญหาสหภาพยุโรป หรือ อียู ประกาศให้ใบเหลืองประมงไทย อันเนื่องมาจากปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมายขาดการรายงานและไร้การควบคุม หรือ IUU Fishing ว่า เชื่อว่ารัฐบาลไทยจะมีมาตรการในการแก้ปัญหาที่อียูให้ใบเหลือง และปลดล็อกได้ทันตามกำหนด 6 เดือน ตามที่อียูกำหนด ประกอบกับความตั้งใจในการแก้ไขปัญหาของไทย น่าจะช่วยให้อียูผ่อนปรน และลดระดับจากใบเหลือง เป็นใบเหลืองอ่อน เพื่อให้ไทยได้เดินหน้าแก้ปัญหาต่อไป ซึ่งมองว่าการให้ใบเหลืองของอียู เป็นการเตือนให้ไทยเดินหน้าแก้ปัญหาแรงงานประมงผิดกฎหมายอย่างจริงจัง เพราะหากอียูต้องการตัดสิทธิการนำเข้าสินค้าไทยจริงๆอาจจะประกาศให้ใบแดงประเทศไทยไปแล้ว
“หากไทยไม่สามารถแก้ปัญหา IUU ได้ภายใน 6 เดือน อียู อาจจะลงโทษไทย โดยการห้ามนำเข้าสินค้าไทย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยที่มีมูลค่าหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐ และจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจประมงโดยตรง และหากว่าอียูลงโทษไทย โดยการเก็บภาษีจากไทยแพงขึ้น ก็อาจจะทำให้ผู้ส่งออกของไทยเดือดร้อน แต่ไม่มาก แต่ก็จะทำให้ยอดส่งออกไทยจะลดน้อยลง รวมไปถึงอาจเกิดการคว่ำบาตรสินค้าไทยเกิดขึ้นได้”
หมายเหตุ : ภาพประกอบบทความ บางภาพไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาแต่อย่างใด Photo credit by : englishnews.thaipbs.or.th
ขอบคุณข้อมูลจาก : แนวหน้า
Discussion
Follow breaking news Investment property articles on Facebook, click here.