ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หากการส่งออกกลับสู่ภาวะปกติ โดย เฉพาะใน 2 ตลาดหลักของไทยคือ จีนและญี่ปุ่นที่ขณะนี้ติดลบอยู่ 10% และ 5% ตามลำดับ กลับมา ขยายตัวได้ตามปกติ ก็มีโอกาสที่ภาวะเศรษฐกิจไทยตลอดทั้งปีนี้ จะกระโดดจากที่คาดการณ์ว่า ขยายตัว 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เป็น 4% ได้ทันที อีกทั้งขณะนี้มีปัจจัยสนับสนุนภาคการส่งออกคือ เงินบาทที่อ่อนค่าลงตามมาตรการทางการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทยอยประกาศออกมาซึ่งต้องยอมรับว่า คราวนี้ ธปท.เก่งจริง ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงแล้ว 5% เมื่อเทียบกับต้นปี อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทจะส่งผลต่อการส่งออกได้ชัดเจนต้องรอประมาณ 3 เดือน
ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า เศรษฐกิจไตรมาสแรกของปีนี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประกาศออกมาสามารถขยายตัวได้ 3% เป็นผลจากการที่ได้ปรับสูตรการคำนวณจีดีพีใหม่นั้น มองว่า เรื่องนี้ไม่ได้มีผลมากนักและไม่ใช่เป็นการปรับสูตร แต่เป็นการปรับปีฐาน จากเดิมปี 2531 มาเป็นปี 2545 อีกทั้งถ้าคำนวณจากฐานเดิมทำให้เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกโตได้มากกว่า 3% แต่บนฐานใหม่เติบโตได้ 3% “อยากให้มองว่าภาคการส่งออกซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเป็น 56% ของจีดีพี ในไตรมาสแรกติดลบ 4.3% แต่จีดีพีในไตรมาสแรกสามารถเติบโตได้ 3% แสดงให้เห็นว่า ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในส่วนอื่นได้ทำงานอย่างเต็มที่ โดยส่วนที่ถือว่าเป็นพระเอกใน 3 เดือนแรกของปีคือ การท่องเที่ยว การลงทุนของภาครัฐที่มีการเติบโตในอัตราที่สูงมาก รวมถึงการลงทุนของเอกชนที่สามารถขยายตัวได้เกือบ 4% ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก.

ขอบคุณข้อมูลจาก : ไทยรัฐออนไลน์