คงจำกันได้ว่าในช่วงระหว่างที่กระแสการถกเถียงให้มีกาสิโนในประเทศไทย กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ “ลาสเวกัส แซนด์ คอร์ปอเรชั่น” ได้เข้าพบนายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง เพื่อนำเสนอแนวทางการลงทุนธุรกิจท่องเที่ยวในรูปแบบการจัดประชุมสัมมนา การจัดนิทรรศการนานาชาติและการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล (MICE) พร้อมกับเข้าพบ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ที่ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวภายหลังว่า เมื่อรู้แท้จริงว่าเป็นธุรกิจกาสิโน จึงไล่กลับไป ในช่วงจังหวะเดียวกันที่กระแสกำลังแรง “ลาสเวกัส แซนด์ คอร์ปอเรชั่น” ซึ่งลงทุนธุรกิจที่เรียกตัวเองว่า รีสอร์ตแบบครบวงจร หรือ Intergrated Resort ในนาม “มาริน่า เบย์ แซนด์ส” ประเทศสิงคโปร์ ได้เชิญสื่อมวลชนประเทศไทยไปดูรูปแบบของการบริหารงาน แต่กว่าการเดินทางจะเริ่มขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ออกมาเบรกเรื่องการทำกาสิโนในไทย กระแสนี้จึงตกไป กรณีศึกษาของ “มาริน่า เบย์ แซนด์ส” จึงอาจไม่มีความสำคัญกับประเทศไทยเท่ากับช่วงที่กำลังถกเถียงกัน แต่จะช่วยฉายภาพให้เห็นมุมมองว่าทำไม “ลาสเวกัส แซนด์ คอร์ปอเรชั่น” ถึงแสวงหาลู่ทางการลงทุนในหลายๆ ประเทศที่เปิดรับธุรกิจกาสิโน ตามคำกล่าวของนายจอร์จ ทานาสเจอวิช กรรมการผู้จัดการ การพัฒนาระหว่างประเทศ ลาสเวกัส แซนด์ คอร์ปอเรชั่น ที่ว่าได้ศึกษาโอกาสในการพัฒนาธุรกิจในหลายประเทศทั่วโลก และมีความสนใจที่จะพิจารณาการลงทุนในไทย หากโอกาสเอื้ออำนวย ขณะเดียวกัน นางคริสท์ บู รองประธานด้านการสื่อสาร ภูมิภาคเอเชีย ลาสเวกัส แซนด์ คอร์ปอเรชั่น และมาริน่า เบย์ แซนด์ส ซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลส่วนใหญ่กับคณะสื่อมวลชนไทย กล่าวว่า จะมาลงทุนในประเทศไทยก็ต่อเมื่อกฎหมายไทยเปิดให้มีกาสิโนและประชาชนคนไทยยอมรับเท่านั้น ทั้งนี้ ลาสเวกัส แซนด์ คอร์ปอเรชั่น ได้ลงทุนรีสอร์ตแบบครบวงจร “มาริน่า เบย์ แซนด์ส” ที่สิงคโปร์ และ “เวเนเชี่ยน มาเก๊า” ประกอบด้วย อาคารโรงแรม ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์การจัดประชุมและนิทรรศการ ห้องประชุม พร้อมกับกาสิโน เพื่อรองรับธุรกิจไมซ์ เมื่อเจาะลึกลงเฉพาะ “มาริน่า เบย์ แซนด์ส” ซึ่งมีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น ได้ใช้งบลงทุนร่วม 5,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 184,800 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน 33 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ) ซึ่งตั้งแต่เปิดให้บริการมา 5 ปีที่ผ่านมาในเดือน เม.ย.2553 สิงคโปร์ได้รับประโยชน์จากเงินภาษีและค่าเข้ากาสิโนที่ส่งให้รัฐบาล 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 99,000 ล้านบาท มียอดขายสินค้าและบริการ 1,800 ล้านเหรียญ หรือ 59,400 ล้านบาท โดยมีรายได้คิดเป็น 1.25% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) สร้างงานมากกว่า 46,000 งาน ทั้งทางตรงและทางอ้อมในสิงคโปร์ อีกทั้งก่อผลดีต่อการท่องเที่ยวอย่างรวดเร็ว โดยมีนักท่องเที่ยว นับจากปี 2552 ที่มี 9.7 ล้านคน ได้เพิ่มขึ้น เป็น 15.1% หรือ 56% ในปี 2557 ขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยว จากปี 2552 ที่ 12,800 ล้านเหรียญสิงคโปร์ หรือ 320,000 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน 25 บาทต่อเหรียญสิงคโปร์) เป็น 23,500 ล้านเหรียญสิงคโปร์ หรือ 587,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 84% นางคริสท์ กล่าวต่อไปว่าเหตุ ผลที่ “มาริน่า เบย์ แซนด์ส” มีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจไมซ์ในสิงคโปร์ เพราะวางรูปแบบให้เป็นโรงแรมหรูมีสถาปัตยกรรมโดดเด่นทันสมัยที่สร้างผลกำไร สร้างภาพลักษณ์สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางธุรกิจไมซ์ ดึงดูดนักธุรกิจในวันทำงานและเป็นแหล่งพักผ่อนในวันหยุด ขณะที่ในปีล่าสุด 2557 มีรายได้ 1,723 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 56,859 ล้านบาท อีกทั้งทำให้โรงแรมอื่นๆของสิงคโปร์ได้รับประโยชน์จากธุรกิจไมซ์ด้วย อย่างไรก็ตาม รายได้มหาศาลดังกล่าวที่เข้าสู่ประเทศสิงคโปร์ ทำให้สื่อมวลชนจากไทยสอบถามว่า ถ้าไปลงทุนธุรกิจลักษณะนี้ในประเทศไทยโดยที่ไม่ต้องมีกาสิโนได้หรือไม่ นางคริสท์กล่าวว่า ถ้าไม่มีกาสิโนก็อยู่ไม่ได้ เพราะต้องลงทุนมหาศาลเพื่อสร้างสถาปัตยกรรมให้โดดเด่น และแม้ว่ากาสิโนจะมีพื้นที่แค่ 3% ของพื้นที่รวมรีสอร์ตทั้งหมด แต่สร้างรายได้ให้ถึง 70% ส่วนกรณีหวั่นเกรงว่าชาวสิงคโปร์จะติดการพนันมากขึ้น ได้มีระบบการจัดเก็บค่าเข้าสำหรับชาวสิงคโปร์ 100 เหรียญสิงคโปร์ หรือ 2,500 บาท สำหรับการเข้า 24 ชั่วโมง และ 2,000 เหรียญ หรือ 50,000 บาทสำหรับเวลา 1 ปี และจะไม่ให้บริการบุคคลล้มละลายหรือต้องได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ ที่มีอยู่ราว 250,000 คนใช้บริการ ที่สำคัญหากมีคนในครอบครัวยื่นความจำนงไม่ให้สมาชิกในครอบครัวใช้บริการ บุคคลนั้นก็จะเข้ากาสิโนไม่ได้ด้วย.

ขอบคุณข้อมูลจาก : ไทยรัฐออนไลน์