จับตา “เอเชีย” ศูนย์รวมมหาเศรษฐีโลก ไพรซ์วอเตอร์เฮาส์ฯ จับตา “เอเชีย” แหล่งรวมเศรษฐีพันล้านเหรียญสหรัฐฯแห่งใหม่ของโลก แซงหน้าสหรัฐฯและยุโรป หลังขั้วอำนาจเศรษฐกิจของโลกย้ายมาอยู่ฝั่งตะวันออก พร้อมมองมหาเศรษฐีเกิดใหม่ของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หลังเจนวายและสตาร์ตอัพหน้าใหม่หันมาลงทุนสร้างความมั่งคั่งผ่านตลาดหุ้น นายศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัทไพรซ์วอเตอร์-เฮาส์คูเปอร์ส (PwC) (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ในอีก 5-10 ปีจำนวนมหาเศรษฐีในเอเชียจะแซงหน้าสหรัฐฯ ส่วนหนึ่งเพราะการเปลี่ยนขั้วอำนาจเศรษฐกิจของโลก มาเป็น “บูรพาภิวัฒน์” ถือเป็นหนึ่งในกระแส “เมกะเทรนด์” ที่ทำให้เกิดธุรกิจใหม่ๆโดยเฉพาะในฝั่งเอเชีย ขณะที่ศูนย์กลางอำนาจทางการเงิน ที่เริ่มย้ายฐานมาทวีปนี้ และจำนวนชนชั้นกลางที่มากขึ้น อำนาจในการใช้จ่าย ของผู้คนในภูมิภาคก็มากขึ้นตามไปด้วย ทำให้นักธุรกิจฝั่งเอเชียเริ่มหันมาตั้งต้นธุรกิจ และสร้างฐานะความมั่งคั่งด้วยตนเอง จากการทำธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรม สินค้าอุปโภค-บริโภค รองลงมาคือ เทคโนโลยี และไอที ทั้งนี้ สอดคล้องกับผลสำรวจ Billionaires: Master architects of great wealth and lasting legacies ประจำปี 58 ซึ่งจัดทำโดย สถาบันการเงิน UBS AG และ PwC ที่ผ่านมา พบว่าสัดส่วนมหาเศรษฐีที่สร้างฐานะด้วยตนเองในเอเชียมีจำนวนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเอเชียมีสัดส่วนของมหาเศรษฐีที่สร้างความมั่งคั่งด้วยตัวเองสูงถึง 36% ของเศรษฐีพันล้านเหรียญสหรัฐฯทั่วโลก และในจำนวนนี้ 25% ยังเติบโตมาจากครอบครัวที่ยากจน ถือเป็นสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับสหรัฐฯที่ 8% และยุโรปเพียง 6% ขณะที่อายุเฉลี่ยของเศรษฐีระดับพันล้านเหรียญสหรัฐฯ ชาวเอเชีย ก็น้อยกว่ามหาเศรษฐีจากสองทวีปถึง 10 ปี โดยมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 57 ปี “เทรนด์ของคนหนุ่ม-สาวที่กลายมาเป็นมหาเศรษฐีหน้าใหม่ ตั้งแต่อายุยังน้อยใน 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเอเชีย ที่เด็กสมัยนี้หันมาเริ่มต้นทำธุรกิจ หรือลงทุนกันตั้งแต่จบทำงานใหม่ๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้เติบโตมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย จึงไม่น่าแปลกใจที่อายุเฉลี่ยของมหาเศรษฐีในเอเชีย จะน้อยกว่าฝั่งอเมริกาหรือยุโรปถึง 10 ปี” ที่น่าเป็นห่วงคือ จำนวนเศรษฐีใหม่ในจีนที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ล่าสุดไตรมาสแรกของปีนี้ มีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นในจีนแทบทุกสัปดาห์ เพราะส่วนหนึ่งประชากรจีนหันมาลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น หลังรัฐบาลจีนปฏิรูปตลาดทุนในประเทศ ส่งผลให้ชาวจีนหันมาเล่นหุ้นเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ โดย 5 เดือนแรกของปีนี้ มีบัญชีหุ้นเปิดใหม่ 30 ล้านบัญชี แต่นักลงทุนซึ่งเป็นรายย่อยส่วนใหญ่กลับกลายเป็นนักเรียนมัธยมที่ยังขาดความรู้ในการลงทุน จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนประสบภาวะฟองสบู่
สำหรับประเทศไทย เศรษฐีหน้าใหม่มีแนวโน้มเกิดขึ้นมากเช่นกัน หลังจากที่เด็กรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มเจนวาย (Gen Y) หันมาลงทุนสร้างความมั่งคั่ง ผ่านตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น กระแสที่ต้องการ “รวยด้วยตัวเอง” หรือ “รวยทางลัด” ไม่ต้องอาศัยทำงานในออฟฟิศและความนิยมในตัวนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมั่งคั่งตั้งแต่อายุยังน้อย ตลาดหุ้นไทยจึงเป็นแหล่งที่คนรุ่นใหม่เข้ามาแสวงหาความมั่งคั่ง “นอกจากความมั่งคั่งที่สร้างจากการลงทุนในหุ้น เทรนด์ของการตั้งธุรกิจใหม่หรือสตาร์ตอัพในบ้านเรามีให้เห็นมากขึ้น เด็กยุคใหม่โดยเฉพาะเจนวาย มีทัศนคติในการทำงานแตกต่างจากคนเจนอื่นๆ เด็กกลุ่มนี้อยากมีกิจการเป็นของตนเอง อยากสร้างความสำเร็จด้วยมันสมองและฝีมือ บางรายเรียนจบก็หุ้นกับเพื่อนฝูงตั้งบริษัท บางรายเริ่มทำงานเป็นพนักงานบริษัท 2-3 ปี แล้วนำประสบการณ์มาดัดแปลง สร้างธุรกิจของตน ทำให้คนไทยรุ่นใหม่ๆ มั่งคั่งตั้งแต่อายุยังน้อย” นายศิระกล่าวว่า คุณลักษณะที่มหาเศรษฐีรุ่นใหม่มีคล้ายคลึงกัน และเปรียบเสมือนเป็นดีเอ็นเอของคนกลุ่มนี้ เช่น บริหารความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด เศรษฐีรุ่นใหม่ซึ่งสร้างฐานะด้วยตนเอง มักมองความเสี่ยงเป็นความท้าทาย และมีโฟกัสในการทำธุรกิจอย่างแรงกล้าสิ่งที่บรรดาเศรษฐีมีเหมือนกันอีกประการ คือ ความสนใจใคร่รู้ ฯลฯ.

ขอบคุณข้อมูลจาก : ไทยรัฐออนไลน์