งาน CEO FORUM ของ สมาคมธนาคารไทย ทำเอานายแบงก์ไทยและเทศ ที่เข้าร่วมกว่า 30 นาย งงเต็ก เมื่อ "หม่อมอุ๋ย" ออกมาปะฉะดะหัวหน้ารัฐบาลว่าไม่เข้าใจเรื่องเศรษฐกิจ ขณะที่ตัวเองพยายามโชว์กึ๋นการันตีว่า ยังไงๆเศรษฐกิจปีนี้ก็โต 3% ด้าน "เสี่ยปั้น" โดดออกมารับแทน ไม่ใช่ความผิดรัฐบาลนี้ กระนั้นก็ตามทีดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมล่าสุดที่ ส.อ.ท.ประกาศก็ต่ำสุดในรอบ 16 เดือน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา สมาคมธนาคารไทยได้จัดประชุมประจำเดือน โดยมีกรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ทั้งไทยและเทศราว 30-40 นายเข้าร่วมรับประทานอาหารค่ำด้วยหลังการประชุม ที่อาคารบางกอกคลับ ถนนสาทร โดยได้เชิญ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้กำกับดูแลงานด้านเศรษฐกิจมาบรรยายสรุปภาวะเศรษฐกิจให้ฟังด้วย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ได้กล่าวกับวงสนทนาว่า วิธีการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ดำเนินการอยู่ จำเป็นต้องใช้ระยะเวลา และยืนยันว่าจะไม่นำเงินไปแจก หรืออัดฉีดเข้าสู่ระบบเหมือนกับที่รัฐบาลก่อนๆเคยทำ เว้นแต่เงินที่ลงไปจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจเท่านั้น ขณะเดียวกันก็การันตีว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัว 3% ของจีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) แน่นอน โดยจะใช้อัตราแลกเปลี่ยนเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนการส่งออก “ผมพูดเรื่องเศรษฐกิจ คิดว่าทุกคนในนี้เข้าใจ แต่คุยกับนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ไม่เข้าใจเรื่องเศรษฐกิจ แล้วยังเอาไปพูดตอบนักข่าวทุกเรื่อง” ถ้อยคำดังกล่าวทำให้นายแบงก์หลายคนแสดงความงุนงง และอึดอัดหาวเรอกันมาก นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยเจอคลื่นลูกใหญ่หลายลูกกระทบ และหลายเรื่องมาจากการจัดการที่ไม่ดีของรัฐบาลในอดีต เช่น ปัญหาการค้ามนุษย์ที่ส่งผลกระทบมากต่อการค้าขายกับประเทศต่างๆโดยเฉพาะการส่งออก ยังมีเรื่องกติกาความปลอดภัยด้านการบินที่เป็นประเด็นขึ้นมา และต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็วด้วย เป็นต้น “รัฐบาลนี้เข้ามา ก็รับปัญหามาเพียบ และต้องแก้กันเต็มที่ ขณะนี้ก็มีการตัดสินใจเรื่องการลงทุนสำคัญๆเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งก็ได้ทำไปแล้ว เหลือแต่การตรวจสอบให้มีความโปร่งใสไม่ให้ลัดขั้นตอนเท่านั้น” นายบัณฑูรยังพูดถึงปัญหาที่คาดไม่ถึง และหนักสุดเวลานี้คือปัญหาภัยแล้งก็ต้องให้กำลังใจกัน จะมาบอกว่า รัฐบาลจัดการไม่ดี ก็ไม่ใช่ ไม่ยุติธรรม รัฐบาลไม่ได้ทำ แต่มารับปัญหาที่มันแตกแล้วต่างหาก ช่วงนี้จึงต้องช่วยกัน ถอยกันคนละก้าว และมีวินัย ยิ่งเมื่อประเทศต้องเผชิญโจทย์ยากอย่างการไม่มีน้ำใช้ในวันนี้ ด้วยเศรษฐกิจรวมทั้งปีปรับลดความคาดหวังลงมาเหลือราว 3% ก็พอไหว และก็ถือว่าจัดการได้ดีพอสมควรแล้ว ด้าน นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยผลสำรวจความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอยู่ที่ 84.0 ปรับลดลงจากระดับ 85.4 ในเดือน พ.ค. ซึ่งถือว่าลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และยังเป็นค่าดัชนีที่ต่ำสุดในรอบ 16 เดือนนับตั้งแต่ มี.ค.2557 เป็นต้นมา เนื่องจากผู้ประกอบการกังวลต่อเศรษฐกิจภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปัญหาภัยแล้งที่ลุกลามในหลายพื้นที่ และผลกระทบกับเศรษฐกิจคู่ค้าที่อาจกระทบภาคการส่งออก นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ใน 3 เดือนข้างหน้าด้วยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอาจปรับลดลงอีกจากยอดคำสั่งซื้อรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการที่เอกชนมองว่ายังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควรจะเป็น ขณะที่ยังไม่แน่ใจว่าเศรษฐกิจครึ่งหลังจะมีทิศทางอย่างไร ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะการช่วยเหลือภาคการเกษตร และเอสเอ็มอี
ส่วนกระแสข่าวปรับคณะรัฐมนตรีโดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจนั้น นายสุพันธุ์กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี และ ส.อ.ท. ต้องการให้ข้อเสนอต่างๆที่ได้ให้รัฐบาลไปก่อนหน้า ได้รับการตอบรับจากทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ไม่ว่าจะชุดใหม่หรือเก่าก็ตาม เพราะที่ผ่านมาข้อเสนอของเอกชนได้รับการตอบสนองที่ล่าช้าโดยเฉพาะการช่วยเหลือเอสเอ็มอี ทั้งในเรื่องของภาษีและการนิรโทษกรรม เช่นเดียวกัน เศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะเติบโตมากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับทีมเศรษฐกิจจะดำเนินมาตรการกระตุ้นอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อมีปัญหาภัยแล้งที่อาจคุกคามภาวะเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น และกระทบต่อกำลังซื้อประชาชน ซึ่งข้อเสนอของเอกชนที่ผ่านมา ก็ได้ส่งสัญญาณให้รัฐบาลทราบทุกเดือนว่า ทีมเศรษฐกิจควรจะอุดหนุน หรือดูแลราคาสินค้าให้กับภาคการเกษตรบ้าง แต่ทีมเศรษฐกิจก็ไม่ได้มีมาตรการอะไรออกมาชัดเจนในเรื่องนี้ ที่ผ่านมา รัฐบาลดูแลเศรษฐกิจมหภาคดีแล้ว แต่ในระดับจุลภาคไม่มีความชัดเจนทั้งๆที่มีปัญหาค่อนข้างรุนแรง.

ขอบคุณข้อมูลจาก : ไทยรัฐออนไลน์