แก้กฎวีซ่าเที่ยวไทยเข้า-ออกไม่อั้น
นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในกฎกระทรวงมหาดไทย ภายใต้ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 เปิดช่องทางให้ชาวต่างชาติจากทุกประเทศสามารถทำวีซ่าเพื่อเดินทางเข้า-ออกประเทศไทยได้หลายครั้ง (มัลติเพิล วีซ่า) ภายในระยะเวลา 6 เดือน ด้วยค่าธรรมเนียม 5,000 บาท ส่วนชาวต่างชาติที่ทำวีซ่าเพื่อเข้าออกครั้งเดียว มีค่าธรรมเนียม 1,000 บาท โดยจะมีผลหลังจากลงในราชกิจจานุเบกษา 60 วัน
“เจตนาเบื้องต้นที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯ นำเสนอในประเด็นนี้ ต้องการให้มัลติเพิลวีซ่ามีผล 12 เดือน แต่การได้รับพิจารณาเพียง 6 เดือนก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และคิดว่าจะมีผลประโยชน์ในการส่งเสริมตลาดระยะใกล้ที่ยกให้ไทยเป็นจุดหมายท่องเที่ยวช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ รวมถึงเป็นผลดีต่อการเดินทางของนักธุรกิจนักลงทุนที่ต้องเดินทางเข้ามาในไทยบ่อยๆ โดยเฉพาะชาวต่างชาติในตลาดหลัก อย่าง อินเดีย จีน ไต้หวัน เป็นต้น”
ด้านสถานการณ์นักท่องเที่ยวเดือน ม.ค.-ก.ค. มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 17.5 ล้านคน เติบโต 30.74% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นรายได้ 818,439 ล้านบาท ขยายตัว 30.61% และหากเทียบกับปี 2556 ที่สถานการณ์บ้านเมืองปกติ มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโต 15% ขณะที่รายได้เติบโต 19.86% ทั้งนี้ ในส่วนของรายได้ในช่วง 6 เดือนแรก ตลาดจีนทำรายได้สูงสุด 190,919 ล้านบาท ตามด้วยมาเลเซีย 39,755 ล้านบาท อังกฤษ 32,498 ล้านบาท รัสเซีย 31,768 ล้านบาท และสหรัฐฯ 29,937 ล้านบาท
นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า การประกาศใช้มัลติเพิลวีซ่าจะช่วยคัดกรองและมองเห็นศักยภาพของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการจะมาประเทศไทยจริงๆ เห็นได้จากประเทศญี่ปุ่นที่ก่อนหน้านี้เคยประกาศให้มัลติเพิลวีซ่ากับคนไทยที่จะเดินทางไปญี่ปุ่น และพบว่าคนไทยมีศักยภาพและเป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพ ซึ่งต่อมาช่วยให้รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจยกเว้นการทำวีซ่าสำหรับคนไทยที่ไปญี่ปุ่นและพำนักไม่เกิน 15 วัน สำหรับภาพรวมของนักท่องเที่ยวที่เดินทางผ่านบริษัททัวร์ที่เป็นสมาชิกของแอตต้า ตลอดเดือน ก.ค. เติบโตกว่า 120%.
หมายเหตุ : ภาพประกอบบทความ บางภาพไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาแต่อย่างใด Photo credit by : ไทยรัฐออนไลน์
ขอบคุณข้อมูลจาก : ไทยรัฐออนไลน์
Discussion
Follow breaking news Investment property articles on Facebook, click here.