ไล่รื้อ1.2 หมื่นครัวเรือนริมคลองแก้ปัญหาน้ำท่วม สถาปนิกชี้ ไม่ใช่ทางออก
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : Thaipublica.org
เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ที่ผ่านมา เครือข่ายคน คู คลอง Khon-Kool-Klong ได้รายงานว่า กรุงเทพมหานคร (กทม.) กำลังเร่งเดินหน้ารื้อชุมชนสายคลองลาดพร้าว โดยให้เหตุผลว่า จะมีการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็ก (คสล.) และประตูระบายน้ำ คลองลาดพร้าว คลองบางบัว คลองถนน คลองสอง และคลองบางซื่อ จากบริเวณเขื่อนเดิมอุโมงค์ยักษ์พระรามเก้า-รามคำแหง ไปทางประตูระบายน้ำคลองสองสายใต้ วงเงินงบประมาณ 2,426 ล้านบาท งบประมาณ 4 ปี คือปี 2558-2561 คาดว่าจะลงนามสัญญาจ้างในวันที่ 30 กันยายน 2558 ระยะเวลาก่อสร้าง 42 เดือน
นโยบายดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นมาจากแผนการจัดการน้ำระดับชาติเพื่อแก้ปัญหา น้ำท่วม ผลพวงจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้สั่งดำเนินการ โดยตั้งเป็นคณะกรรมการอำนวยการในการแก้ปัญหาชุมชนริมคูคลองนี้ขึ้นมา มีรองนายกรัฐมนตรีคนที่ 1 เป็นประธาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, กลาโหม และการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นรองประธานทั้ง 3 คน มีเลขานุการ คสช. มาเป็นเลขานุการกรรมการ โดยแบ่งการทำงานออกมาเป็น 3 อนุกรรมการ คือ คณะอนุกรรมการการโยกย้ายประชาชน คณะอนุกรรมการการพัฒนาและจัดที่อยู่อาศัย คณะอนุกรรมการด้านประชาสัมพันธ์
อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวตั้งอยู่บนข้อมสมมติฐานที่ว่า หนึ่งในสาเหตุของน้ำท่วม กทม. คือ ขนาดคลองยังกว้างไม่พอต่อการระบายน้ำ อีกทั้งยังมีบ้านเรือนจำนวนราว 23,500 หลังคาเรือน สร้างรุกล้ำพื้นที่คลอง ทางแก้ปัญหาคือ ขยายขนาดคลองให้กว้างขึ้นจากเดิมเป็น 38 เมตร เป็นระยะทาง 128.37 กิโลเมตร ทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่แนวริมคลองทั้ง 9 สาย ราว 12,037 ครัวเรือน มีประชากร 68,087 คน ต้องย้ายออกจากพื้นที่อยู่อาศัยเดิม ผศ. ดร.วิจิตรบุษบา มารมย์ อาจารย์จากภาควิชาการผังเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงการจัดการปัญหาน้ำท่วมของ กทม. ที่ไล่รื้อชุมชนริมคลองว่า ยังไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ครบทุกมิติ เนื่องจากปัญหาน้ำท่วม กทม. ครั้งที่ผ่านมานั้น เกิดจากน้ำที่ไหลมาจากทางเหนือบวกกับปัจจัยจากน้ำทะเลหนุน ส่งผลต่อประสิทธิภาพการระบายน้ำ ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยถูกรวมเข้าไปในปัญหาเรื่องน้ำท่วม ขณะที่ปัญหาการรุกล้ำริมคลองเป็นเพียงปัจจัยเสี้ยวเดียว
“ปัญหาการรุกล้ำทำให้การระบายน้ำมีปัญหาเป็นแค่ความจริงเสี้ยวเดียว ต้องมองปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพให้ครบทุกมิติ น้ำที่กรุงเทพฯ เสี่ยงอยู่มี 3 น้ำ คือ น้ำที่ไหลมาจากทางเหนือตอนน้ำท่วมปี 2554 เป็นน้ำท่ากับน้ำทุ่ง สองคือน้ำฝน น้ำท่วม 2554 ฝนไม่ได้ตกในกรุงเทพฯ เลย และสาม ที่สำคัญและหายไปจากแนวคิดเรื่องน้ำท่วม คือน้ำทะเลหนุน สมมติว่ามีน้ำทะเลหนุนในช่วงฝนตกหนักประสิทธิภาพการระบายน้ำลงทะเลจะลดลงไป ครึ่งหนึ่ง” ผศ. ดร.วิจิตรบุษบา กล่าว
อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวตั้งอยู่บนข้อมสมมติฐานที่ว่า หนึ่งในสาเหตุของน้ำท่วม กทม. คือ ขนาดคลองยังกว้างไม่พอต่อการระบายน้ำ อีกทั้งยังมีบ้านเรือนจำนวนราว 23,500 หลังคาเรือน สร้างรุกล้ำพื้นที่คลอง ทางแก้ปัญหาคือ ขยายขนาดคลองให้กว้างขึ้นจากเดิมเป็น 38 เมตร เป็นระยะทาง 128.37 กิโลเมตร ทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่แนวริมคลองทั้ง 9 สาย ราว 12,037 ครัวเรือน มีประชากร 68,087 คน ต้องย้ายออกจากพื้นที่อยู่อาศัยเดิม ผศ. ดร.วิจิตรบุษบา มารมย์ อาจารย์จากภาควิชาการผังเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงการจัดการปัญหาน้ำท่วมของ กทม. ที่ไล่รื้อชุมชนริมคลองว่า ยังไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ครบทุกมิติ เนื่องจากปัญหาน้ำท่วม กทม. ครั้งที่ผ่านมานั้น เกิดจากน้ำที่ไหลมาจากทางเหนือบวกกับปัจจัยจากน้ำทะเลหนุน ส่งผลต่อประสิทธิภาพการระบายน้ำ ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยถูกรวมเข้าไปในปัญหาเรื่องน้ำท่วม ขณะที่ปัญหาการรุกล้ำริมคลองเป็นเพียงปัจจัยเสี้ยวเดียว
“ปัญหาการรุกล้ำทำให้การระบายน้ำมีปัญหาเป็นแค่ความจริงเสี้ยวเดียว ต้องมองปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพให้ครบทุกมิติ น้ำที่กรุงเทพฯ เสี่ยงอยู่มี 3 น้ำ คือ น้ำที่ไหลมาจากทางเหนือตอนน้ำท่วมปี 2554 เป็นน้ำท่ากับน้ำทุ่ง สองคือน้ำฝน น้ำท่วม 2554 ฝนไม่ได้ตกในกรุงเทพฯ เลย และสาม ที่สำคัญและหายไปจากแนวคิดเรื่องน้ำท่วม คือน้ำทะเลหนุน สมมติว่ามีน้ำทะเลหนุนในช่วงฝนตกหนักประสิทธิภาพการระบายน้ำลงทะเลจะลดลงไป ครึ่งหนึ่ง” ผศ. ดร.วิจิตรบุษบา กล่าว
Discussion
Follow breaking news Investment property articles on Facebook, click here.