มองภาพรวมตลาดเริ่มปรับตัวดีขึ้น เมกะโปรเจกต์รัฐหนุนความต้องการใช้งานเพิ่ม เสริมความเชื่อมั่นผู้รับเหมารายใหญ่-กลาง คาดเห็นผลชัดเจนในปีหน้า เผยรายได้ 9 เดือน 1,761.72 ล้านบาท กำไรสุทธิ 4.2 ล้านบาท Backlog 2,500 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ถึงกลางปี 2561

นายอาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) (CCP) เปิดเผยว่า จากการที่ภาครัฐมีการทยอยอนุมัติงานโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการรับเหมารายใหญ่และกลาง ซึ่งจะมีผลอย่างมากต่อการพื้นตัวของวัสดุก่อสร้างในปีหน้า แผนการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/59 บริษัทยังคงมุ่งเน้นการเป็นผู้นำตลาดคอนกรีตในภาคตะวันออก อีสานและตะวันตก พร้อมเข้าเสนองานใหม่กับลูกค้าภาครัฐ-เอกชน งานราชการส่วนท้องถิ่นต่างๆ

“ภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้างในช่วงปลายปีนี้ มีสัญญาณที่ดีขึ้น ความต้องการใช้คอนกรีตปรับตัวเพิ่มขึ้น จากโครงการภาครัฐทยอยอนุมัติงานโครงสร้างพื้นฐานออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการดำเนินโครงการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อ CCP ต่อเนื่องซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนในปีหน้า ส่วนงานเอกชนกลุ่มผู้ประกอบการรับเหมา และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายย่อย โดยรวมมีการขยายตัวค่อนข้างน้อย อย่างไรก็ตามจากผลของงานโครงการภาครัฐน่าจะพอสามารถชดเชยงานภาคเอกชนได้ในปีหน้า ”นายอาทิตย์ กล่าว

ขณะที่ผลประกอบการงวด 9 เดือนปีนี้บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,761.72 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 1,818.27 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 4.2 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 3 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 583.16 ล้าน และมีกำไรสุทธิ 2.28 ล้านบาท

ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทมีการปรับตัวลดลง เนื่องจากการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ภาคเอกชนชะลอการลงทุน และทำให้บริษัทลูกยังไม่สามารถทำผลงานได้ดีเท่าที่ควร ประกอบกับเป็นช่วงโลว์ซีซั่นจากฤดูฝนที่ยาวกว่าปกติ มีการส่งมอบงานล่าช้า รวมไปถึงภาวะการแข่งขันด้านราคาขาย ส่งผลให้กำไรสำหรับงวด 9 เดือนของปีลดลง อย่างไรก็ตามบริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์ศึกษาแนวทางการลดต้นทุน ทั้งด้านกระบวนการผลิต และด้านวัตถุดิบ และขยายช่องทางการจำหน่าย เพื่อให้สามารถเพิ่มอัตรากำไรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

สำหรับรายได้รวมในปี 59 บริษัทมองว่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน ที่มีรายได้รวม 2,400 ล้านบาท ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) อยู่ที่ประมาณ 2,500 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ถึงกลางปี 2561 และจะรับรู้รายได้ 60% ของ Backlog ทั้งหมด ใน ไตรมาส 3 ปี 60 โดยบริษัทจะทยอยหางานเข้ามาเพิ่มอีกในอนาคต เพื่อรักษาระดับมูลค่างานในมือ (Backlog) ไว้ไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.worklink.co.th