ผ่าทำเลรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย พบ 4 ปัจจัยบวกเอื้ออสังหาฯมากกว่าสายอื่น “ออริจิ้น” เผยยึดพื้นที่สายนี้แล้ว 19 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท มั่นใจศักยภาพทำเลอีก 3-5 ปีขึ้นแท่น “New Lifestyle CBD” เตรียมเปิดพรีเซลโครงการที่ 20 บนสายนี้ Notting Hill Sukhumvit 105 มูลค่า 2,350 ล้านบาท 25 มี.ค.นี้ ณ ไบเทค บางนา

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ไนท์บริดจ์, นอตติ้ง ฮิลล์, และเคนซิงตัน กล่าวว่า หากเปรียบเทียบกันระหว่างทำเลรถไฟฟ้าสายต่างๆ แล้ว ทำเลรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพและน่าสนใจมากที่สุด เนื่องจากทำเลดังกล่าวมีปัจจัยบวกถึง 4 ปัจจัย ได้แก่ 1.มีสถานีรถไฟฟ้าที่สร้างเสร็จก่อนรถไฟฟ้าสายอื่นและเป็นรถไฟฟ้าสายที่ดีที่สุดเพราะอยู่บนถนนสุขุมวิท สามารถเดินทางเข้าสู่ย่านธุรกิจใจกลางเมือง (ซีบีดี) ได้ภายใน 20-30 นาที 2.เป็นย่านที่อยู่อาศัยแนวราบที่เป็นที่นิยมมาก่อน มีชุนชน มีแหล่งงาน และโรงเรียนนานาชาติชั้นดีจำนวนมาก รวมถึงจะมีการขยายตัวของย่านธุรกิจการค้าในอนาคต 3.การคมนาคมสะดวก ติดทางด่วนเฉลิมมหานคร (พระราม 9–แจ้งวัฒนะ–รามอินทรา) ทางพิเศษบูรพาวิถี (ชลบุรี–พัทยา) และทางพิเศษบางพลี–สุขสวัสดิ์ 4.ระดับราคาคอนโดมิเนียมยังไม่สูงมากนัก

“ในขณะที่รถไฟฟ้าบางสายยังไม่ได้เซ็นสัญญาก่อสร้าง แต่สำหรับรถไฟฟ้าสายสีเขียวในช่วงอ่อนนุช - แบริ่งนั้น เปิดใช้งานมานานแล้ว อีกทั้งการก่อสร้างระบบบางและสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ก็แล้วเสร็จ 100% และพร้อมจะเปิดให้บริการสถานีแรกในวันที่ 1 เม.ย.นี้ ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดคอนโดมิเนียมโซนนี้เติบโตมากกว่า 30% ในปีนี้” นายพีระพงศ์ กล่าว

สำหรับโซนที่น่าจับตาบนทำเลรถไฟฟ้าสายสีเขียวขณะนี้ แบ่งออกเป็น 2 โซน ได้แก่ 1.ทำเลสถานีปุณณวิถี-อุดมสุข เป็นทำเลที่มีการเปิดขายโครงการคอนโดมีเนียมจำนวนมากมาตั้งแต่ก่อนรถไฟฟ้าจะเปิดบริการ มีผู้ประกอบการเข้ามาแข่งขันกันพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในโซนนี้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่ายังเป็นที่นิยมของผู้บริโภค แต่ระดับราคาเฉลี่ยในปัจจุบันที่อยู่ที่ 100,000-150,000 บาท/ตรม. จึงอาจจะไม่เหมาะกับกำลังซื้อของคนส่วนใหญ่แล้ว 2.ทำเลสถานีบางนา–แบริ่ง ปัจจุบันยังเป็นโซนที่มีการแข่งขันกันไม่สูงมากนัก ระดับราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 80,000-125,000 บาท/ตร.ม. ซึ่งถือว่าเป็นราคาคอนโดมีเนียมใกล้รถไฟฟ้าที่ยังอยู่ในระดับราคาที่ยังจับต้องได้ จึงเชื่อว่าจะกลายเป็นทำเลที่มีความต้องการสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วง 1 ปีจากนี้ และคาดว่าจะส่งผลให้ระดับราคาปรับขึ้นได้ถึง 20 %

“ปี 2559 ซัพพลายคอนโดมิเนียมทั้งหมดที่ขายอยู่ในโซนลาซาล-แบริ่ง-สำโรง อยู่ที่ 6,827 ยูนิต ขายไปได้ถึง 4,506 ยูนิต ส่งผลให้ยูนิตคงเหลือสิ้นปี 2559 เหลือเพียง 2,321 ยูนิต หรือคิดเป็นอัตราการขายสูงถึง 66% ขณะที่ทำเลอื่นๆ ส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ 30% สะท้อนว่าทำเลนี้มีความต้องการของผู้บริโภคสูง และมีซัพพลายคงเหลือน้อยกว่าระดับความต้องการ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมในระยะไม่เกิน 500 ม.จากรถไฟฟ้า ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 80,000-125,000 บาท/ตร.ม.ซึ่งเป็นระดับราคาที่ยังจับต้องได้ เชื่อว่าทำเลนี้จะมีความต้องการสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดต่อไป ในขณะที่ทำเลใกล้เคียงคือ ทำเลย่าน ปุณณวิถี-อุดมสุข ซึ่งมีการเติบโตของตลาดและการแข่งขันสูงมาก แต่ราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมีเนียมในระยะไม่เกิน 500 ม.จากรถไฟฟ้าได้ขยับไปอยู่ที่ 100,000-150,000 บาท/ตร.ม.แล้ว ถือเป็นระดับที่ค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับกำลังซื้อของคนส่วนใหญ่” นายพีระพงศ์ กล่าว

นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา บริษัทให้ความสำคัญกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวมาตลอด โดยได้พัฒนาโครงการทั้งบนส่วนต่อขยายเดิมอ่อนนุช-แบริ่ง และส่วนต่อขยายช่วงใหม่แบริ่ง-สมุทรปราการแล้วรวม 19 โครงการ มูลค่ากว่า 10,248 ล้านบาท และจะยังให้ความสำคัญกับทำเลสายสีเขียวอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ นอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท 105 (Notting Hill Sukhumvit 105) ขึ้นเป็นโครงการที่ 20 บนทำเลรถไฟฟ้าสายนี้ และเป็นโครงการที่ 35 ของออริจิ้น

“เรามั่นใจว่าในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า แบริ่งและสถานีโดยรอบจะกลายเป็น New Lifestyle CBD เพราะกำลังจะมีสถานที่สำคัญใหม่ๆ เกิดขึ้นจำนวนมาก ทั้งแบงค็อก มอลล์ (Bangkok Mall) ศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ภิรัชทาวเวอร์, อาคารสำนักงาน M Tower, Sky Walk เชื่อมสถานีอุดมสุข-บางนา, รถไฟฟ้าสายสีเหลือง, และรถไฟรางคู่ขนาดเบา สายบางนา–สุวรรณภูมิ ทำเลนี้จะเชื่อมต่อทั้งการใช้ชีวิต การทำงาน และการเดินทาง” นายพีระพงศ์ กล่าว

นอกจากนี้ กลุ่มผู้อยู่อาศัยคอนโดมิเนียมในโซนนี้ยังพลิกโฉมไปอีกด้วย จากเดิมที่เป็นกลุ่มคนท้องถิ่นและกลุ่ม Blue Collars อนาคตจะมีทั้งกลุ่ม White Collars และชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทย (Expat) โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นและ ชาวไต้หวันด้วย ทำเลนี้จึงเป็นทำเลที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าสภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร เพราะมีตลาดผู้อยู่อาศัยหลายกลุ่มรองรับ

สำหรับโครงการนอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท 105 ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาดประมาณ 8 ไร่ ใน ซ.สุขุมวิท 105 ห่างจากสถานีบีทีเอส แบริ่งประมาณ 400 เมตร ประกอบด้วยอาคาร 8 ชั้น 6 อาคาร รวม 1,113 ยูนิต ตัวโครงการมีคอนเซ็ปต์เป็นสถาปัตยกรรมโมเดิร์นคลาสสิก สไตล์อังกฤษ ให้ผู้อยู่อาศัยได้สูดลมหายใจกลิ่นอายของลอนดอน ไปพร้อมกับบรรยากาศความเรียบง่าย สดชื่น พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน โดยภายในโครงการจะมีจุดเด่นถึง 3 อย่าง ได้แก่ 1.คลับเฮาส์ส่วนตัวที่แยกจากอาคารที่พักอาศัย 2.สวนสไตล์อังกฤษแบบไล่ระดับและสวนดาดฟ้าขนาดพื้นที่กว่า 3,500 ตร.ม. 3.สะว่ายน้ำ Lap Pool ที่คลับเฮาส์ และสระว่ายน้ำ Relax Pool พร้อมสระเด็กในโครงการ 4.Library Room, Co-Working space พร้อม Wifi Hi-speed ตลอด 24 ชั่วโมง 5.Fitness พร้อม Trainer และ Irish sport club corner ขณะที่ห้องพักอาศัย แบ่งออกเป็น 7 แบบ ขนาดตั้งแต่ 25.50-43.50 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1.99 ล้านบาท/ยูนิต ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 75,000 บาท/ตร.ม. รวมมูลค่าโครงการ 2,350 ล้านบาท เริ่มเปิดพรีเซล 3 อาคารจาก 6 อาคาร ในวันที่ 25 มี.ค. 2560 ณ ไบเทค บางนา พร้อมห้อง Fully Furnished ราคาพิเศษ 1.69-1.89 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นราคาที่คุ้มที่สุดในโซนสถานีบีทีเอสดังกล่าว หลังจากวันงานพรีเซล ราคาจะเริ่มต้นที่ 2 ล้านบาท

ขณะที่อีก 3 อาคารที่ไม่ได้เปิดพรีเซลนั้น อาคารหนึ่งมีตัวแทนขายจากต่างประเทศมาเหมาไปขายที่ฮ่องกงและไต้หวันแล้ว ขณะที่อีก 1 อาคารอยู่ระหว่างการเจรจากับตัวแทนขายจากทางญี่ปุ่น เริ่มก่อสร้างโครงการ มิ.ย. 2560 และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จไตรมาส 1/2562

ขอบคุณข้อมูลจาก : origin