“เออร์รี่ รีไทร์” ฝันดีหรือฝันร้ายของมนุษย์เงินเดือน
หนึ่งในความฝันสูงสุดของมนุษย์เดินดินกินเงินเดือน คือ “อยากเกษียณเร็ว” ถ้าเลือกได้ หลายคนอยากเลิกทำงานประจำตั้งแต่อายุ 40-50 ปี เพื่อหวังออกไปใช้อิสระได้ดั่งใจ แม้ความฝันนี้จะไม่ง่าย แต่ก็ไม่ไกลเกินเอื้อม แต่ก่อนส่งจดหมายลาออก ลองสละเวลาสักนิดมาพิจารณาถึงข้อดี-ข้อเสียของการเออรี่ รีไทน์ อย่างน้อยจะได้ไม่ต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่าทีหลัง
ข้อดี
1.ได้สุขภาพดีเป็นของกำนัล ถึงจะรู้ดีว่าสภาพการทำงานอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ใช่ความจริงที่น่าอภิรมย์ของมนุษย์เงินเดือน แต่กี่ปีมาแล้วที่คุณจำต้องก้มหน้าทรมานร่างกายด้วยการทำงานเพื่ออนาคตที่มั่นคง ดังนั้นหากคุณสามารถเกษียณได้เร็ว เท่ากับว่าคุณไม่เพียงคืนสุขภาพร่างกายที่ดีให้ตัวเอง แต่ยังดีต่อใจ เพราะจากนี้คุณไม่จำเป็นต้องแบกรับความเครียด และ ความกดดันอีกต่อไป
2.มีเวลาท่องโลกกว้างมากขึ้น ถึงจะคุ้นชินกับประโยคที่ว่า “จงเที่ยวตั้งแต่ตอนที่ยังมีแรง ดีกว่าไปเมื่อกำลังทรัพย์พร้อม แต่สองขาก้าวไม่ไหว” แต่ด้วยบทบาทมนุษย์เงินเดือน อาจทำให้คุณไม่มีอิสระทางเวลามากพอที่นึกอยากจะจองตั๋วไปเที่ยวไหนได้ดั่งใจ เพราะฉะนั้นหากอยากออกไปตะลุยโลกกว้างตั้งแต่เรี่ยวแรงยังมี การเกษียณเร็วคือ คำตอบที่น่าสนใจ
3.เวลาเปิดรับโอกาสใหม่ๆ ให้ชีวิตมาถึงแล้ว ไม่ว่าคุณจะมีฝันอยากทำธุรกิจของตัวเอง หรือ อยากลองเปลี่ยนสายไปทำงานที่ไม่ถนัด แต่หัวใจร่ำร้องสักครั้ง การเกษียณเร็ว คือ โอกาสครั้งสำคัญที่จะทำให้คุณได้เปิดประตูไปสัมผัสอีกหนึ่งบทเรียนใหม่ของชีวิต
4.มีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น หากความฝันของคุณคือ การได้ตื่นเช้าไปรับ-ส่งลูกที่โรงเรียน และ กลับมาทำอาหารเย็น กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว แทนที่จะบอกรักกันทางออนไลน์ แต่ไม่เคยได้กอดกันให้หายคิดถึง เมื่อใดที่คุณลบสเตตัสพนักงานประจำออกไป ความปรารถนานี้ของคุณก็เป็นจริงได้
5.ยังให้เงินทำงานแทนได้ คุณอาจจะถอนตัวจากการทำงาน ไม่มีเงินเดือนประจำอีกต่อไป แต่ไม่ได้หมายความว่าเงินที่คุณหามาจากน้ำพักน้ำแรงต้องหยุดทำงานไปด้วย ถึงจะเกษียณแล้วแต่คุณยังสามารถบริหารเงินลงทุนให้งอกเงยได้
ข้อเสีย
1.สารโรคกายและใจ(อาจ)ถามหา การเกษียณอายุเร็ว อาจไม่ใช่ยาอายุวัฒนะสำหรับทุกคนเสมอไป เพราะบางคน พอหยุดทำงานแล้วอาจเป็นโรคทางใจ รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ชีวิตในแต่ละวันไร้ความหมาย คิดถึงเพื่อนหรือสังคมที่เคยอยู่ จนทำให้เข้าสู่ภาวะจิตใจหดหู่ บางรายพอกินนอนอยู่กับบ้าน ไม่ได้ขยับร่างกายหรือออกแรง จนพลอยทำให้รู้สึกไม่กระฉับกระเฉงเหมือนเคย
2.ทำใจรับผลประโยชน์ที่หายไป เมื่อระยะเวลาสะสมสั้นลง ผลประโยชน์ย่อมลดลงตาม หนึ่งในคำแนะนำสำหรับคนที่อยากใช้ชีวิตอย่างสบาย ในวันที่หยุดทำงาน จากธนาคารกสิกรไทย คือ ถ้านายจ้างหรือบริษัทที่ทำงานมีสวัสดิการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แนะนำให้รีบสมัครเข้าเป็นสมาชิก และเลือกสะสมเงินในอัตราสูงสุดที่บริษัทกำหนด เช่น บริษัทมีอัตราเงินสะสมให้เลือก3-10% ของเงินเดือน ก็ควรเลือกจ่ายเงินสะสมที่อัตราสูงสุด คือ 10% เพราะถ้าสะสม 10% นายจ้างหรือบริษัทจะต้องสมทบให้ไม่น้อยกว่า 10% เท่ากับว่าคุณจะได้รับเงินเดือนเพิ่มอีกอย่างน้อย10% เลยทีเดียว
3.เหนื่อยวันนี้ สบายวันหน้า ถ้าไม่อยากฝันร้ายหลังเกษียณ(ไว) ต้องยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เร่งออมเงินตั้งแต่เนิ่นๆ วิธีคำนวนง่ายๆ คือ นำอายุที่ตั้งใจจะอยู่ถึง - อายุเกษียณ =จำนวนปีที่ต้องใช้เงิน จากนั้นลองคำนวนค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่ต้องใช้หลังเกษียณ ได้คำตอบแล้วคูณด้วย 12 เดือน และจำนวนปีที่ต้องใช้เงิน จะได้จำนวนเงินที่คุณต้องเตรียมก่อนเกษียณ
สมมติวางแผนเกษียณตอนอายุ 45 ปี และคิดว่าจะมีอายุถึง 80ปี เท่ากับว่าคุณต้องวางแผนหาเงินสำหรับอยู่แบบไม่ทำงาน 35ปี หากมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนอยู่ที่ 15,500 บาท เท่ากับว่าคุณต้องมีเงินเก็บสุทธิ 6.51 ล้านบาท เห็นตัวเลขแล้ว อย่าเพิ่งท้อแท้ ให้ลองคิดต่อว่า ถ้าเป้าหมายคือตัวเลขนี้ คุณต้องเริ่มเก็บเงินอย่างไร
วิธีการวางแผนง่ายๆคือ ประเมินดูว่าหากเริ่มออมวันนี้ คุณยังมีเวลาออมอีกเท่าไหร่ สมมติเริ่มออมตอนอายุ 30 ปี หมายความว่า 15 ปี จากนี้ คุณต้องเฉลี่ยแล้วว่าต้องออมเดือนละเท่าไหร่ ได้คำตอบแล้ว อย่าเพิ่งนิ่งนอนใจ เพราะถ้าจะให้แน่ใจว่าอนาคตหลังเกษียณจะมั่นคงราวกับเสริมคอนกรีต คุณอาจต้องหาทางนำเงินจำนวนนี้ไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อที่มีแต่ขาขึ้น
4.เกษียณแล้วต้องดูแลตัวเอง มนุษย์เงินเดือนที่เคยชินกับการดูแลรักษาพยาบาลจากสวัสดิการของบริษัท อาจต้องทำใจ เพราะจากนี้ไม่มีใครดูแลคุณยามเจ็บป่วยอีกต่อไป ยกเว้นคุณมีประกันสุขภาพส่วนตัว หรือ ยังคงรักษาสิทธิประกับสังคมต่อไป ถึงจะได้รับสิทธิเข้ารับการรักษาตามสถานพยาบาลที่เลือกไว้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ขอบคุณที่มา : http://brandongaille.com
บทความโดย : TerraBKK คลังความรู้
TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก