"สิงห์ เอสเตท" เน้นนโยบายขยายการเติบโตผ่านการลงทุนแบบกระจายตวามเสี่ยงในหลายตลาดทั้งที่อยู่อาศัย  โรงแรม คอมเมอร์เชียล และธุรกิจอื่น ๆมุ่งสู่การเป็น "Property Development & Investment Holding Company" โดยมีแผนจะใช้เงินลงทุนประมาณ 5 หมื่นล้านบาทภายในสามปีข้างหน้า

            ในปัจจุบันบริษัทฯ มีความพร้อมด้านการเงินจากการเพิ่มทุนและการออกหุ้นกู้มูลค่าเกือบ 8,000 ล้านบาท การเสนอขายหุ้นใหม่แบบ private placement ให้กับ บลจ.บัวหลวง บลจ.วรรณ และกองทุนแฟรงคลิน เทมเพิลตัน มูลค่าประมาณ 1,600 ล้านบาท และการออกหุ้นกู้แปลงสภาพอีก 6,000 ล้านบาท


ผลประกอบการในครึ่งปีแรก 2017

รายได้เติบโตอย่างมากคิดเป็น 2,230 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1,229 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว คิดเป็น 81% YOY  แต่เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วจะขาดทุนสุทธิ 28 ล้านบาท  เป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและการลงทุนต่าง ๆ ประกอบกับการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินกู้ลงทุนในอังกฤษ  โดยทางผู้บริหารคาดการณ์ว่ารายได้จากโครงการต่าง ๆที่เปิดตัวไปแล้วจะเริ่มเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2018 เป็นต้นไป

The ESSE Singha Complex  มูลค่าโครงการ 4,160 ล้านบาท ยอดขาย 86%
THE ESSE Asoke  มูลค่าโครงการ 4,772 ล้านบาท ยอดขาย 75%


ในครึ่งปีหลังมีการพัฒนาโครงการระดับ luxury ใหม่ 4 โครงการ ประกอบด้วย

- The ESSE at Sukhumvit 36  มูลค่าโครงการ 6,175 ล้านบาท

- Santiburi The Residences   มูลค่าโครงการ 4,932 ล้านบาท

- Banyan Tree Residences Riverside Bangkok   มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท

- Nirvana Define   มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีโครงการเมกะโปรเจกต์ "Emboodhoo Lagoon" ที่ประเทศมัลดีฟส์ มูลค่าโครงการ 11,000 ล้านบาท ในเฟสหนึ่ง  พร้อมทั้งเผยว่ามีแผนจะเอาบริษัท Singha Hotel and Resort(SHR) เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2020

            นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ยังเผยว่า นโยบายของบริษัทในตอนนี้นั้นประกอบไปด้วย
- เน้นการพัฒนาโครงการโดยกระจายความเสี่ยง
- ตลาดที่อยู่อาศัยแบบ luxury นั้นมีความต้องการมากกว่าแบบทั่วไป
- กลุ่มอาคารสำนักงานในโซน CBD มีการแข่งขันที่สูง บริษัทฯจะเน้นลงทุนในทำเลที่มีการแข่งขันน้อยลง
- กลุ่มธุรกิจโรงแรมนั้นจะเน้นเป็นรีสอร์ทตามสถานที่ท่องเที่ยวตากอากาศมากกว่าในเมือง