ถึงจะเพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นาน สำหรับ Open Innovation Center” โดย เอสซีจี แต่ก็สามารถสร้างกระแสความแปลกใหม่ให้เกิดขึ้นกับแวดวงนวัตกรรมได้ไม่น้อย เพราะนอกจากความมุ่งมั่นของเอสซีจีที่ต้องการตอกย้ำการเป็นผู้นำนวัตกรรมอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียนแล้ว เหตุใดศูนย์ฯ แห่งนี้จึงถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการนวัตกรรมอย่างแท้จริง ต้องมาติดตามไปพร้อมกัน... 

          เหตุผลแรก คือ การเป็นศูนย์กลางที่พร้อมเปิดรับความร่วมมือด้านงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมกับทุกหน่วยงาน ให้เกิดการต่อยอดสร้างสรรค์นวัตกรรมแห่งอนาคต เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้บริโภค สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยแบ่งพื้นที่กว่า 1,600 ตร.ม. ออกเป็น 4 โซนหลัก ได้แก่ 1.) โซนจัดแสดงผลงาน เพื่อต่อยอดการวิจัยระหว่างนักวิจัยเอสซีจีและพันธมิตร 2.) โซนห้องสัมมนาและห้องประชุม เพื่อใช้เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนักวิจัย 3.) ห้องปฏิบัติการ เพื่อให้ผู้พัฒนาเทคโนโลยีที่อยู่ในความสนใจของเอสซีจีใช้วิจัยและพัฒนา 4.) โซนออฟฟิศ สำหรับนักวิจัยและทีมประจำศูนย์ของเอสซีจี

          เหตุผลที่ 2 คือ การตั้งอยู่ในแหล่งต้นกำเนิดนวัตกรรมเพื่ออนาคต คือ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางด้านการวิจัยและพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ เนื่องจากเป็นแหล่งรวมของนักวิจัยกว่า 3,000 คน จึงเป็นโอกาสที่ทุกคนจะได้มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวคิดระหว่างกัน หรือหากงานวิจัยสอดคล้องกับแนวทางการดำเนินธุรกิจของเอสซีจี ที่มุ่งมั่นส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้บริโภค ก็สามารถพัฒนาต่อยอดสู่งานนวัตกรรมเพื่ออนาคตอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ เอสซีจียังได้สร้าง network of network ที่เป็นพันธมิตรของ สวทช. ในการพัฒนาสินค้าและนวัตกรรมเพื่อต่อยอดทางธุรกิจให้กว้างขวางต่อไปอีกด้วย

          อย่างไรก็ตาม งานนวัตกรรมใหม่ๆ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีห้องปฏิบัติการที่มีความพร้อม ดังนั้น เหตุผลที่ 3 จึงเป็น ห้องปฏิบัติการที่ใช้สำหรับการทดสอบแนวความคิดหรือการสาธิตต้นแบบเพื่อประเมินความเป็นไปได้ในเชิงเทคนิคเบื้องต้น ก่อนที่จะส่งต่อให้กับหน่วยธุรกิจที่มีเครื่องมือครบครันต่อไป

          เหตุผลที่ 4 ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ คือ การจัดแสดงผลงานนวัตกรรมเพื่อต่อยอดการวิจัย อันเกิดจากแนวคิดที่ว่าไม่ต้องการให้สถานที่แห่งนี้ถูกจำกัดเพียงแค่นักวิจัยเท่านั้น แต่ต้องการเปิดกว้างให้กับบรรดาผู้ที่ต้องการแสวงหาความรู้ด้านนวัตกรรมใหม่ๆ อีกด้วย ในส่วนนี้แบ่งออกเป็น 5 โซนย่อย ได้แก่ 1.) Inspiration starts here บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาอันยาวนานกว่า 100 ปีของเอสซีจี 2.) Performance+ จัดแสดงนวัตกรรมอันโดดเด่นของเอสซีจี เช่น Sea Cement สูตรการผสมปูนที่สามารถนำน้ำทะเลและทรายจากทะเลมาผสมเป็นคอนกรีตใช้งานได้โดยไม่ทำให้เกิดสนิมในเหล็กเสริม รวมทั้งยังทำให้คอนกรีตมีความสามารถในการป้องกันคลอไรด์จากภายนอกได้ ทำให้การก่อสร้างในพื้นที่ชายฝั่งทำได้สะดวกยิ่งขึ้น เป็นต้น 3.) Design for Sustainability การพัฒนาวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การออกแบบสินค้าตามรสนิยมของผู้บริโภค และการพัฒนาสินค้าเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร 4.) Moving Edge เน้นการพัฒนา Solution เพื่อส่งมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับคู่ค้าและผู้บริโภคเพื่อชีวิตที่ดีของทุกคนในภูมิภาค และ 5.) Drawing the Future Together ขยายเครือข่ายการวิจัยและพัฒนากับทุกภาคส่วน ผลักดันงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพานิชย์อย่างเป็นรูปธรรม ผ่าน 60 Technology Platforms

          และสุดท้ายกับ เหตุผลที่ 5 การสนับสนุนเครือข่ายสตาร์ทอัพจากทั่วโลก ที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property) ในการดำเนินงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Sci-Tech) ผ่านโปรแกรม Accelerator เพื่อร่วมพัฒนานวัตกรรมที่มีศักยภาพสูงกับเอสซีจีในกลุ่ม Materials, Clean Technology, Well Being และ Sensor & IoT ก่อนนำไปสู่การต่อยอดธุรกิจร่วมกันในอนาคตอีกด้วย

          เห็นแบบนี้แล้ว ดีใจแทนบรรดาเหล่านักวิจัยทั้งหลาย ที่จะมีคนมาช่วยสานต่อผลงานวิจัยให้เป็นรูปธรรม รวมทั้งบรรดานักเรียน นักศึกษา องค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน หรือผู้ที่ต้องการแสวงหาความรู้ด้านนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะได้มีแหล่งข้อมูลดีๆ เพิ่มอีกแห่งหนึ่ง ใครอยากรู้ว่าศูนย์แห่งนี้จะสามารถเข้ามาพลิกโฉมวงการนวัตกรรมได้จริงหรือไม่ งานนี้ขอบอกว่าต้องรีบไปดูด้วยตาตัวเองได้ที่ Open Innovation Center โดยเอสซีจีด่วนเลย เปิดให้เยี่ยมชมได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) ตั้งแต่เวลา 09.00-16.30 น.

ขอบคุณข้อมูลจาก   www.scg.com