ชีวิตคนเราก็ไม่ต่างจากเครื่องจักรสมองกล อย่างคอมพิวเตอร์ ต่อให้พัฒนามากี่รุ่น ผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนคิดว่าตัวเองมีประสบการณ์ชีวิตโชกโชนขนาดไหน แต่หากไม่รู้จักปล่อยว่าง แบกรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้บนบ่า ก็คงไม่ต่างจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไฟล์ข้อมูลหนักอึง จนที่สุดท้ายก็มีรวน หากไม่หมั่น Delete ข้อมูลที่ไม่จำเป็นออกไปบ้าง

         

เช่นเดียวกับคนเรา บางครั้งนอกจากจะต้องหาเวลารีเฟรสตัวเอง ก็ต้องไม่ลืมแบ่งเวลามานั่งสแกนตัวเอง เพื่อ delete สิ่งที่ไม่จำเป็น มีแต่จะบั่นทอนความสุข ทำให้ชีวิตไม่พบกับความสุขเสียทีไปเสียบ้าง

         คำถามคือ แล้วอะไรคือ สิ่งที่เราควร Delete ออกไปจากชีวิตแบบไม่ต้องเสียดายหรือคิดกู้คืน คำตอบอยู่นี่แล้ว

         1.ทิ้งไปซะสิ่งที่บั่นทอนจิตใจ หรือตอกย้ำให้คุณนึกถึงวันวานอันแสนขม ในหนังสือเรื่อง The Life-Changing Magic of Tidying Up โดย มาริเอะ คนโดะ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีการจัดบ้าน ซึ่งหนังสือของเธอได้สร้างปรากฎการณ์มาแล้วทั้งในญี่ปุ่น อเมริกา และยุโรป จนนิตยสารไทม์ยกย่องให้เธอเป็นหนึ่งในบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกประจำปี 2015 ระบุว่า ให้ทิ้งสิ่งของที่ไม่ได้ชวนให้คนย้อนรำลึกไปถึงอดีตอันแสนหวาน เช่น ปากกาที่เจ้านายคนก่อนที่จะตัดสินใจไล่คุณออกให้ไว้ แต่ถ้าในกรณีที่ความไม่สบายใจไม่ได้อยู่ในรูปสิ่งของ แต่เป็นเรื่องของความรู้สึก แนะนำให้กดลบความทรงจำเหล่านั้นไปซะให้หมด แล้วจะพบว่าชีวิตนี้สุขขึ้นเป็นกอง

         2.สลัดตัวการความยุ่งเหยิง ฝันร้ายของพนักงานออฟฟิศ คือ กองทัพอีเมลที่หากพิมพ์ออกมาเป็นกระดาษ คงกองพะเนินสูงท่วมหัวล้นโต๊ะทำงาน

         จะดีกว่ามั้ย ถ้าคุณจะลองหันไปใช้วิธีบริหารอีเมลแบบบิล เกตต์ เจ้าพ่อไมโครซอฟท์ ซึ่งมีกระบวนการจัดการอีเมลน่าทำตาม ดังนี้ 1.ใช้ระบบสองหน้าจอ บิลบอกว่า เขาจะเปิดใช้สามจอในการทำงาน โดยมีสองหน้าจอที่เกี่ยวข้องกับอีเมล สำหรับฝั่งซ้ายจะกำหนดให้แสดงผลอินบ็อกอยู่เสมอ ส่วนจอด้านขวาจะใช้สำหรับการอ่านและตอบกลับอีเมล 2. ใช้ตัวกรองและการอนุญาตให้อีเมลเข้าอินบอกซ์ บิลจะรับเฉพาะอีเมลจากคนในบริษัท หุ้นส่วน และผู้ช่วยของเขาเท่านั้น วิธีนี้ช่วยลดปริมาณอีเมลที่พุ่งมาหาเขาจากหลักพันเหลือเพียงหลักร้อยมาแล้ว สุดท้ายคือ จัดรายการในอินบ็อกซ์ที่ต้องทำ โดยเขาจะทำเครื่องหมายและจัดแยกอีเมลใส่ในแฟ้มต่างๆ  เพื่อเรียงลำดับงานที่ต้องทำ โดยลำดับความสำคัญตามเนื้อหา

         3.พอกันทีกับการใส่ลูกเล่นอีโมติคอน สำหรับสายมุ้งมิ้งที่มักใส่ตัวอีโมติคอน เพื่อให้บทสนทนาผ่านข้อความดูซอฟต์ ขอให้คิดทบทวนเสียใหม่ เพราะคงไม่ดีแน่หากในอีเมลที่คุณส่งถึงบอสเพื่อเล่าถึงอภิมหาโปรเจค แต่คุณกลับใส่อีโมติคอนหน้ายิ้มมีความสุขลงไปทิ้งท้าย เพราะไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจที่จะสื่อให้บอสรู้ว่า คุณยังยิ้มได้แม้ต้องเจอโปรเจ็คที่เคร่งเครียด หรือยังมีความสุขกับงานที่ทำ แต่รู้ไว้เลยว่า อีโมติคอนที่ใส่ไป มีผลให้งานของคุณถูกลดทอนความน่าเชื่อถือและ ความเป็นมืออาชีพลงไปเป็นกอง

         4.ฉันต้องเพอร์เฟค ท่องไว้ให้ขึ้นใจเลยว่า ไม่มีใครที่จะสมบูรณ์แบบ คนที่เราเห็นว่าชีวิตของเขาเหมือนจะสมบูรณ์แบบผ่านโลกออนไลน์แท้จริงแล้วเป็นแค่สิ่งลวง และหากการเฝ้าติดตามเรื่องราวของคนในโลกโซเชียล บั่นทอนกำลังใจในการใช้ชีวิตของคุณ ให้รีบสลัดเพราะคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการที่แม้แต่ตัวคุณเองเป็นคนลงมือซ้ำเติมตัวเองให้รู้แย่อยู่บ่อยๆ

         5.พอกันทีกับรักห่วยๆ ไม่มีความจำเป็นที่คุณต้องเสียเวลาอันมีค่าของชีวิตไปกับการจมอยู่กับความสัมพันธ์ห่วยๆ หรือความรักที่ไม่มีอนาคต หลายคนที่จมปลักอยู่กับความสัมพันธ์เก่าๆ ไม่ได้เกิดจากอีกฝ่ายไม่ยอมไป แต่คุณเองต่างหากที่ขังความรู้สึกแย่ๆ นั้นไว้ให้กัดกินใจ หรือไม่ก็ยังพาตัวเองไปผูกกับอีกฝ่ายไม่เลิก ยังคอยติดตามเรื่องราวของอีกฝ่ายแล้วเก็บเอามาทุกข์ หรือ เอามาแปลงเป็นความอิจฉาหรือความแค้น ซึ่งถ้ากลับมาย้อนคิด คุณจะพบว่า สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ไม่ได้ส่งผลดีกับคุณแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นสบัดทิ้งไปดีกว่า

ขอบคุณที่มา : www.theladders.com, www.mailmaster.co.th และ https://simplecapacity.com

บทความโดย : TerraBKK เคล็ดลับการลงทุน

TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก