นั่งไทม์แมชชีนไปตามหา คุณคนเก่าที่เคยรักงานเป็นชีวิตจิตใจ
คุณยังจำความรู้สึกวันแรกที่ได้เริ่มต้น งาน ใหม่ในฝันได้มั้ย? วันที่คุณมาทำงานด้วยพลังที่ล้นปรี่ ทุกอย่างรอบตัวเป็นสีชมพู งาน หนักแค่ไหนก็พร้อมรับ แต่แล้วทำไม…ผ่านไปแค่ไม่นาน ความรู้สึกเหล่านั้นกลับค่อยๆจางหาย ความรักและความทุ่มเทให้กับงานเริ่มถดถอย ราวกับกองไฟที่กำลังจะดับมอดลงไปทุกที
ภาวะที่คุณกำลังเผชิญอยู่นี้ในทางจิตวิทยา เรียกว่า อาการหมดไฟ (Burnout)
หลายคนอาจสงสัยว่าอาการหมดไฟ หรือ เบิร์นเอ้าท์คืออะไรและเกิดขึ้นได้อย่างไร ก่อนที่จะข้ามสเต็ปไปหาคำตอบ ต้องไปทำความรู้จักกับสิ่งเล็กๆแต่อานุภาพเหลือร้ายที่เรียกว่า “ความเครียด” เสียก่อน ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากเปิดประตูรับความเครียดเข้ามาในจิตใจ แต่ความจริงอันโหดร้าย คือ ความเครียดเป็นวายร้ายล่องหน ไม่ได้มีสัญญาณแจ้งเตือนล่วงหน้าว่าความเครียดกำลังมาเยือน หรือออกอาละวาด เป็นเหตุให้หลายครั้งที่ตัวเราเองยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังเครียด และปล่อยให้ความเครียดเรืองอำนาจจนทำให้คุณเหนื่อยล้า และ หมดแรงเกินกว่าที่จะประคองเปลวไฟที่เคยโชติช่วงเพื่อเดินไปข้างหน้าต่อไป
ใครที่กำลังจนหนทาง ไม่รู้ว่าจะจุดไฟในตัว ปลุกแพชชั่นที่เคยมี ความรักที่เคยหวานหอมใน งาน ให้กับมาอีกครั้งได้อย่างไร อย่าเพิ่งถอดใจ เพราะไม่มีคำว่าสายขอแค่คุณยอมรับและพร้อมจะฟื้นฟูตัวเองอีกครั้ง ถ้าพร้อมแล้วไปตามหาคุณคนเก่าที่เคยมีรักที่มั่นคงให้กับงานกัน
1.เปลี่ยนมาทำงานแบบสมาร์ท 80%ของมนุษย์เงินเดือนทำ งาน เป็น แต่ในจำนวนนี้มีไม่น้อยที่ไม่ได้ทำ งาน อย่างสมาร์ท รู้จักใช้เครื่องมือต่างๆเข้ามาเป็นตัวช่วยทุ่มแรง จัดสรรเวลา เพื่อให้ งาน ไปสู่เป้าหมายแบบไม่ต้องเปลืองแรง สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ to-do list ลองมองหาแอพลิเคชั่นมาเป็นเป็นตัวช่วยรวบรวมสิ่งที่คุณต้องทำ และเช็คว่าอะไรที่คุณทำลุล่วงแล้วบ้าง ส่วนใครที่เนื้องานอาจต้องประสานกับหลายฝ่าย แทนที่จะมัวปวดหัวกับกองทัพอีเมลที่ไหลบ่า ลองหันมาใช้กูเกิ้ลไดรฟ์ เข้ามาเป็นตัวช่วยลดขั้นตอนในการแชร์ข้อมูล ช่วยให้ระบบการแก้ไข หรือ คอมเมนต์งานง่ายขึ้น แบบม้วนเดียวจบ
2.ปิดสวิตซ์ให้ตัวเองบ้าง อุปกรณ์ไอทีที่ว่าฉลาดล้ำ ยังต้องการเวลา Switch off สาอะไรกับร่างกายมนุษย์ที่ต้องการเวลาพักผ่อนและผ่อนคลายเช่นกัน วิธีการง่ายๆคือ ลองหยุดพฤติกรรมหยิบสมาร์ทโฟนมาทุก 30วินาที เพื่อเช็คอีเมล ดูโซเชียลมีเดีย หรือเอาแต่พะวงรอรับสายที่จะเข้ามา ทางที่ดี คุณต้องเตือนตัวเองเสมอว่า ธุรกิจคงไม่พังลงมาตรงหน้า เพียงเพราะคุณไม่ตอบอีเมลหรือรับโทรศัพท์ในวันเสาร์หรรษา
3.เปลี่ยนจากชีวิตออนไลน์มาเป็นออฟไฟน์ดูบ้าง ถ้างานของคุณไม่ใช่แอดมินเพจ หรือ ผู้จัดการฝ่ายโซเชียลมีเดียขององค์กร ในความเป็นจริง (แบบสุดโต่ง) คุณไม่จำเป็นต้องมีแอพลิเคชั่นเฟซบุ๊คหรือทวิตเตอร์ติดไว้ในสมาร์ทโฟนคู่ใจด้วยซ้ำ แต่ถ้าใครที่ยังตัดใจไม่ลง อาจจะลองใช้วิธีปิดการแจ้งเตือน หรือกำหนดให้ตัวเองใช้โซเชียลมีเดียแค่วันละ 2 ครั้งก็พอ เพราะแม้การทิ่งโลกโซเชียลจะดูเป็นกิจกรรมชิลๆ แต่จริงๆแล้วกินเวลาชีวิตคุณไม่น้อย ไม่เชื่อลองสังเกตตัวเองดู ทุกครั้งที่ล็อกอินเข้าไปในโลกออนไลน์ที่กว้างใหญ่ไพศาล คุณมักพบกับสิ่งที่คุณสนใจและดูดเวลาของคุณไปอย่างไม่คาดฝัน ถึงจะเพลิดเพลินกับการเสพข้อมูลที่ไม่ได้มีสาระ แต่สมองของคุณก็ไม่ได้พักอยู่ดี เพราะต้องทำหน้าที่สแกนข้อมูลและจดจำรูปภาพ
4.ผ่อนคลายตัวเอง จากบทความเรื่อง “12 พฤติกรรมคนที่ประสบความสำเร็จมักทำก่อนกินอาหารเช้า” พบว่า คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักตื่นนอนแต่เช้า, ออกกำลังกาย, เริ่มต้นทำงานที่มีความสำคัญที่สุดก่อน ขณะที่บางคนเลือกทำงานที่มีแพชชั่น,ใช้เวลาอันมีค่ากับครอบครัว หรือ เลือกที่จะติดตามข่าวสาร
หากคุณรู้สึกว่าพฤติกรรมดังกล่าวดูจะจริงจังไปนิด นั่นไม่ใช่ปัญหา คุณไม่ต้องบังคับตัวเองให้ทำตาม แค่ลองออกแบบชีวิตตัวเองให้มีเวลาได้ผ่อนคลายบ้าง หนึ่งในวิธีการพักผ่อนที่ดีที่สุด คือ พาตัวเองออกจากสิ่งรอบข้าง และ โฟกัสอยู่กับตัวเองโดยไม่คิดถึงเรื่องงานและภาระหน้าที่ต่างๆให้ได้อย่างน้อยวันละ 5นาที
5.ทำงานให้น้อยลง แม้จะดูเป็นคำแนะนำง่ายๆ แต่กลับทำได้ยากที่สุด แทนที่นั่งมองตัวเองปล่อยให้ไฟในตัวค่อยๆมอดดับลงจนส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน สู่หันมาหาจุดสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตและการทำ งาน ให้เจอ แล้วพาตัวเองให้กลับมาพร้อมก้าวไปข้างหน้าอีกครั้งดีกว่า
ขอบคุณที่มา : www.livechatinc.com
บทความโดย : TerraBKK เคล็ดลับการลงทุน
TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก