การเดินทาง ท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น
ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่มีความสวยงามทางธรรมชาติอยู่มากมาย ผู้คนก็มีความโอบอ้อมอารี บ้านเมืองก็เป็นระเบียบเรียบร้อย และทั้งหมดทั้งมวลนี้ ก็คือเหตุผลที่ทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศในฝันของใครหลายๆ คน
ขอบคุณภาพจาก youtube
การเดินทาง ท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น
การเดินทางมาเยือนประเทศญี่ปุ่นนั้นง่ายแสนง่าย เพราะสนามบินนานาชาติหลักของประเทศญี่ปุ่น มีถึง 6 สนามบินด้วยกัน คือ
ท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะ (NRT)
ท่าอากาศยานฮาเนดะ (HND)
ท่าอากาศยานคันไซ (KIX) ที่ให้บริการในเขตคันไซ โอซาก้า เกียวโต โกเบ และฮิโรชิม่า
สนามบินนานาชาติ Chubu หรือ Centrair ที่อยู่ใกล้กับเมืองนาโกย่า
สนามบินฟุกุโอกะ (FUK) ที่อยู่ทางตอนใต้ของเกาะคิวชู
Chitose Airport (CTS) ที่อยู่ใกล้กับซัปโปโรบนเกาะฮอกไกโดทางตอนเหนือ
แต่หากพูดถึงการเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวภายในประเทศญี่ปุ่นนั้นก็ทำได้สะดวกมากเช่นกัน เพราะการคมนาคมมีการเชื่อมต่อกันตลอด ไม่ว่าจะเดินทางด้วยวิธีไหนก็ปลอดภัย
อีกทั้ง ระบบการขนส่งของประเทศญี่ปุ่นก็มีประสิทธิภาพมาก ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งระบบขนส่งของประเทศญี่ปุ่นนั้น มีทั้งหมด 7 แบบด้วยกัน คือ
ระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน Shinkansen bullet train
รถไฟด่วน
รถประจำทางทางหลวง
รถประจำทางท้องถิ่น
รถไฟฟ้าใต้ดิน
รถแท็กซี่
และที่ยิ่งไปกว่านั้น คือ สถานีรถไฟญี่ปุ่นจะมีศูนย์การค้า และบริการอื่นๆ มากมาย รอให้บริการคุณอยู่ด้วย อาทิ สำนักงานให้เช่ารถ หรือสถานีรถบัส เป็นต้น
ขอบคุณภาพจาก Google Maps โดย Ys waiz
เรื่องต้องรู้ ก่อนเดินทาง ท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น
สถานฑูต
สถานทูตต่างประเทศในกรุงโตเกียว สถานทูตญี่ปุ่นในต่างประเทศ และสถานกงสุล จะสามารถให้ความช่วยเหลือแก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติได้ หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นมา
แต่หากคุณต้องการต่ออายุวีซ่า และขอเอกสารการเดินทาง หรือค้นหาข้อมูลที่พักอาศัยอื่นๆ คุณสามารถหาได้จากห้องสมุดสื่อ และอินเตอร์เน็ตที่ศูนย์แลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ
อุทยานแห่งชาติ และเขตปกครอง
ญี่ปุ่นมีอุทยานแห่งชาติทั้งหมด 30 แห่งด้วยกัน ที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครอง และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ซึ่งอุทยานแห่งชาติของญี่ปุ่นนั้นมีพื้นที่ประมาณ 6% ของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศญี่ปุ่น
วีซ่า
นักท่องเที่ยวจากประเทศในแถบยุโรปตะวันออก ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อเมริกาเหนือ สิงคโปร์ มาเลเซีย หรือผู้ถือ ePassport ตามมาตรฐาน ICAO จะได้วีซ่าท่องเที่ยว 90 วัน
สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทาง HKSAR (เขตปกครองพิเศษของฮ่องกง) จะได้รับการอนุญาตให้เข้าประเทศญี่ปุ่นเพื่อการท่องเที่ยว และการเข้าชมระยะสั้นได้ไม่เกิน 90 วัน ส่วนประเทศไทยนั้น ได้วีซ่าสำหรับท่องเที่ยว 15 วัน
ส่วนรายชื่อประเทศที่ได้รับการยกเว้นวีซ่าในการท่องเที่ยวในญี่ปุ่น สามารถดูได้จากเว็บไซต์นี้เลย www.mofa.go.jp
ขอบคุณภาพจาก gogonihon.com
อากาศในญี่ปุ่น
สภาพอากาศช่วงต้นเดือนเมษายน จะมีฝนตกบ่อย และยาวไปจนถึงกลางเดือนมิถุนายน ส่วนเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม อุณหภูมิ และความชื้นจะเพิ่มสูงขึ้นทำให้เกิดความร้อนผสมกับความอบอ้าว
เดือนตุลาคมถึงต้นเดือนธันวาคม เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง อุณหภูมิจะต่ำลงเรื่อยๆ จนถึง ฤดูหนาว ซึ่งก็คือฤดูสกีของญี่ปุ่น และฤดูใบไม้ผลิในเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่น และฮอกไกโด
สำหรับฤดูกาลที่ดีที่สุดในการไปเที่ยวญี่ปุ่น คือ ฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วง เพราะเป็นช่วงที่ซากุระบาน
พ็อกเก็ต Wifi และซิมเน็ต
ประเทศญี่ปุ่นได้รับความสนใจมากจากจุดเชื่อมต่อ Wifi แต่ส่วนใหญ่จะจำกัดอยู่ที่เมืองใหญ่ ซึ่งหากคุณไม่ต้องการพึ่งพา Wifi ฟรี และต้องการที่จะออนไลน์ 24 ชั่วโมง 7 วัน คุณควรเช่าเราเตอร์ Wifi มือถือจากบริษัทที่มีชื่อเสียงในประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งสามารถส่งไปที่โรงแรมของคุณ หรือจะเช่าที่สนามบินก็ได้ หรืออาจหาซื้อซิมอินเตอร์เน็ตจากเมืองไทยเพื่อนำไปใช้ในญี่ปุ่นก็ได้เช่นเดียวกัน
ประกันการเดินทาง
สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ไม่แพ้ซิม หรือ Wifi ก็คือ ประกันการเดินทาง ที่ถึงแม้บางครั้งสายการบินจะมีบริการ แต่เพื่อความสะดวกสบาย และง่ายต่อการติดต่อ เราแนะนำให้ท่านซื้อประกันแยกโดยตรงกับบริษัทประกัน ซึ่งมีหลายบริษัทให้บริการ จ่ายเพียงน้อยนิดแต่ได้รับการคุ้มครองมาก เรียกว่า คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปอย่างแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก www.rabbitfinance.com