“สิงห์ เอสเตท” พร้อมก้าวขึ้นเป็น “โกลบอล โฮลดิ้ง คัมปานี” เน้นกลยุทธ์เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมเตรียมงบลงทุน 8.5 หมื่นล้านบาท ขยายธุรกิจทุกกลุ่มเน้นพัฒนาโครงการคุณภาพ
กรุงเทพฯ, 21 พฤศจิกายน 2561 - “สิงห์ เอสเตท” ตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการก้าวขึ้นสู่การเป็น “โกลบอล โฮลดิ้ง คัมปานี” เผยแผนการขับเคลื่อนองค์กรผ่านยุทธศาสตร์ สร้างองค์กรที่แข็งแกร่งทางการเงินพร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน เตรียมงบลงทุนระยะยาวกว่า 8.5 หมื่นล้านบาท เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในทุกกลุ่มธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ มุ่งพัฒนาแบรนด์ให้เป็น “Leading Premium Brand “ ระดับสากล
นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ “S” กล่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ชูยุทธศาสตร์มุ่งสู่การเป็น “โกลบอล โฮลดิ้ง คัมปานี” (Global Holding Company) เผยแผนการขับเคลื่อนองค์กรใหม่ผ่านกลยุทธ์เพื่อพัฒนาองค์กรให้มีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืน โดยกลยุทธ์หลัก ประกอบไปด้วย
- Reputable Global Holding Companyบริษัทฯ มุ่งมั่นในการเป็น Global Holding Company ที่มีชื่อเสียงในระดับสากล มุ่งลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนที่ดีและมีศักยภาพในการเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพภายใต้แบรนด์ระดับพรีเมี่ยม (Leading Premium Brand) กระจายการลงทุนในแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำทั่วโลก ภายใต้กลยุทธ์ Smart M&A ซึ่งปัจจัยสำคัญคือความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัท ที่เอื้อให้สามารถรองรับโอกาสทางการลงทุนได้อย่างรวดเร็ว โดยบริษัทฯ วางแผนระดมทุนระยะยาว ผ่านการตั้งกองทุนทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) การทำ credit rating เพื่อการออกหุ้นกู้ ตลอดจนการเป็นหุ้นยั่งยืน (Sustainability Investment Stock) นอกจากนี้บริษัทฯวางแผนยกระดับขีดความสามารถในการพัฒนาและบริหารโครงการในต่างประเทศ (Management Capability Enhancement) โดยโครงการสำคัญที่จะเปิดในปี 2019 คือโครงการ CROSSROADS ที่สาธารณรัฐมัลดีฟส์
- Singha Estate Brandingเพื่อตอกย้ำจุดยืนของการเป็น “โกลบอล โฮลดิ้ง คัมปานี” (Global Holding Company) บริษัทฯมุ่งสร้างแบรนด์ “สิงห์ เอสเตท” ให้เป็นแบรนด์ชั้นนำและน่าเชื่อถือ สะท้อนเอกลักษณ์ที่ประณีตและคุณภาพระดับพรีเมี่ยม มีมาตรฐานระดับสากล บริษัทฯ พัฒนาแบรนด์ สิงห์ เอสเตท บนพื้นฐานของความเข้าใจในธรรมชาติของการใช้ชีวิต (Human Bonding) มุ่งหวังที่จะสร้างแรงบันดาลใจ สร้างอนาคตที่ดีสำหรับคนรุ่นต่อไป (Better world for next generation) มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ผ่านการบริการที่พิถีพิถัน (Human touch service) และการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างความสะดวกสบายในการชีวิต SMART Human Technology นอกจากนี้บริษัทฯ ยังเดินหน้าพัฒนาบนพื้นฐาน Good Corporate Citizenship สู่การเป็นแบรนด์ที่ยั่งยืนในระดับโลก (Global SD Brand) เพื่อสร้างคุณค่าด้านความยั่งยืนให้กับพันธมิตรทางธุรกิจและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม
- Business & Organization of Tomorrowคือการปรับองค์กรให้มีความพร้อมในการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ โดยสร้างองค์กรที่มีความคล่องตัว ทั้งในด้านธุรกิจ พอร์ทโฟลิโอ และการดำเนินการ ซึ่งทุกกลุ่มธุรกิจล้วนมีโอกาสทางธุรกิจที่จะพัฒนาต่อเนื่องจากธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ เช่น การเพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน ( Value Enhancement) นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังวางแผนที่จะพัฒนาธุรกิจใหม่ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของสินทรัพย์ประเภทใหม่ ธุรกิจสร้างมูลค่าเพิ่มต่อเนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนธุรกิจใหม่ที่มีการเติบโตสูงในระยะยาว
- Sustainable Developmentด้วยหลักปรัชญาการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ บริษัทฯ ได้นำแนวคิดเรื่องความสมดุลของการอยู่ร่วมกัน (Harmonious Co-Existence) และการสร้างองค์ความรู้ (Body of Knowledge) มาใช้ผ่านกิจกรรมหลายอย่างในหลายปีที่ผ่านมา อาทิ เช่น โครงการ “โตไวไว” ที่สร้างความสมดุลให้กับธรรมชาติ บริเวณอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ บริษัทฯ มุ่งเน้นที่จะช่วยชุมชนให้มีความยั่งยืนในตัวเอง (Self-sustained Communities)ผ่านการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน (Social Enterprise) และทำงานร่วมกับเครือข่ายองค์กรด้านความยั่งยืนในระดับสากล นอกจากนี้ สิงห์ เอสเตท ยังมุ่งมั่นที่จะเป็นสมาชิกดัชนี Dow Jones Sustainability Indices: DJSI
“ผมมั่นใจที่จะนำบริษัทให้ก้าวไปข้างหน้าและบรรลุเป้าหมายใหม่ตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ ซึ่งเราได้เตรียมงบลงทุน 8.5 หมื่นล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพในทุกกลุ่มธุรกิจ รวมถึงการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่สามารถสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้กับบริษัทอีกด้วย”
นายนริศ กล่าวเสริมว่า ในปี 2019 จะเป็นปีที่บริษัทฯจะทยอยรับรู้รายได้จากการโอนโครงการที่พักอาศัยที่ทยอยสร้างเสร็จ ได้แก่ ดิ เอส อโศก, ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์, สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส, บันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ รวมทั้งการรับรู้รายได้เต็มปี จากอาคารสำนักงานสิงห์ คอมเพล็กซ์,โรงแรม Outrigger 6 โรงแรม และเริ่มรับรู้รายได้จาก โครงการCROSSROADS สาธารณรัฐมัลดีฟส์ ทำให้ภาพรวมในปี 2019 จะเป็นปีที่บริษัทฯจะมีการเติบโตในระดับสูงและมีความแข็งแกร่งทางการเงินเพื่อความพร้อมในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ขณะที่แผนงานของปี 2019 บริษัทยังคงวางแผนลงทุนในคอนโดมีเนียมอีกอย่างน้อย 1 โครงการ ขณะที่ธุรกิจสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก คาดว่าจะได้เริ่มก่อสร้างและเปิดตัวอีก 1โครงการติดกับอาคารซันทาวเวอร์ส บริเวณถนนวิภาวดี-รังสิต
ขอบคุณข้อมูลจาก www.singhaestate.co.th