แสนสิริ เซตมาตรฐานวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดตัวครั้งแรกกับโมเดลธุรกิจเปลี่ยนโลก “Sansiri Green Mission” ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ตั้งเป้าลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์เฉลี่ย 2,120 ตัน หรือเทียบเท่าพื้นที่ป่าสีเขียวกว่า 1,700 ไร่
กรุงเทพฯ (22 พฤศจิกายน 2561) บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำผู้นำอสังหาริมทรัพย์รายแรกของไทย ที่สร้างจุดเปลี่ยนเพื่ออนาคตของโลก ปั้นโมเดล “แสนสิริ กรีน มิชชั่น – Sansiri Green Mission” สะท้อนปรัชญาของแนวคิด “เศรษฐกิจหมุนเวียน” หรือ “Circular Economy” ผสานการสร้างสรรค์นวัตกรรมและเทคโนโลยีภายใต้การวิจัยและพัฒนาในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและจัดการพลังงานอย่างยั่งยืน วาง Green Roadmap ผลักดัน 4 คำมั่นสัญญาหลัก ได้แก่ Waste Management | Energy Saving & Generation | Smart Move และ Sustainability เพื่อโลกและคุณภาพชีวิตที่ดีในการอาศัยอยู่ของลูกบ้านแสนสิริและประชาคมโลกอย่างยั่งยืน
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ด้วยวิสัยทัศน์ของแสนสิริที่ไม่เพียงแค่การพัฒนาหรือสร้างที่อยู่อาศัย แต่แสนสิริยังมุ่งมั่นส่งมอบไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตให้แก่ลูกค้าภายใต้แนวคิด customer-centric หรือความต้องการของลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุดเพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยให้กับลูกค้าในแต่ละกลุ่มได้อย่างตรงจุด นอกจากนี้ล่าสุดแสนสิริยังมีแนวคิด ในการเดินหน้าเป็นผู้นำเพื่อผลักดันและเซตมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยในด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังและยั่งยืน โดยการให้ความสำคัญทั้งในด้านลดการใช้พลังงานและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่สร้างผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมโลก ทั้งนี้ที่ผ่านมา แสนสิริได้จัดตั้งทีมวิจัยและพัฒนา (R&D) และร่วมมือกับพันธมิตรจากสถาบันฯ และบริษัทฯ ชั้นนำระดับโลกกว่า 20 ราย เพื่อพัฒนาและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและจัดการพลังงานอย่างยั่งยืนโดยเริ่มนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่ผ่านการทดสอบเข้าสู่กระบวนการติดตั้งในโครงการนำร่องต่างๆ อาทิ โครงการ Cooliving Designed Home นวัตกรรมบ้านระบายความร้อน การพัฒนาและติดตั้งกังหันลม ผลิตไฟฟ้า Wind Turbine รวมถึงการเปิดตัว Smart Move แพลตฟอร์มบริการเช่ารถพลังงานไฟฟ้า 100% เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้าน เป็นต้น”
โดยการดำเนินงานเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนในครั้งนี้ “แสนสิริ” ได้นำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน มาประยุกต์ให้เข้ากับแบรนด์ดีเอ็นเอ (DNAs) ของบริษัท ด้วยแรงขับเคลื่อนจากทัศนคติที่พร้อมเปิดรับและพัฒนาสิ่งใหม่ๆ เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของแนวทางการจัดการของเสียและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมแบบบูรณาการ บนหลักการ 2 ข้อใหญ่ ได้แก่ การรักษาและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรเพื่อประโยชน์สูงสุด และการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรการบริโภคให้น้อยที่สุด สอดรับกับแผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ (พ.ศ. 2559 – 2564) เพื่อแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยตามนโยบายรัฐบาลที่กำหนดให้เป็น “วาระแห่งชาติ” รวมถึงร่างแผนจัดการขยะพลาสติกอย่างบูรณาการ (พ.ศ. 2560 - 2564) เกิดเป็นโมเดลต้นแบบภายใต้ชื่อ “แสนสิริ กรีน มิชชั่น – Sansiri Green Mission” อันจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญกับการเป็นผู้กำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยในอนาคตที่เข้าใจและใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยมี Green Roadmap เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนในทุกโครงการใหม่ของแสนสิริ ภายใต้ 4 คำมั่นสัญญาหลัก ได้แก่ Waste Management | Energy Saving & Generation | Smart Move และ Sustainability
นายอุทัย กล่าวต่อไปว่า “เราได้เตรียมงบประมาณไว้ 50 ล้านบาท ระหว่างปี พ.ศ. 2562 - 2564 โดยมุ่งมั่งสร้างความเป็นเลิศสู่ความยั่งยืนด้านพลังงานและกำจัดของเสีย ซึ่งในด้าน Waste Management หรือ การจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทวางจุดยืนที่ชัดเจน ในการลดปริมาณขยะคอนกรีตจากการก่อสร้างทั้งในรูปแบบก่ออิฐฉาบปูนและพรีคาสต์สู่นวัตกรรม “Earth Blox” ที่นำเศษคอนกรีตมวลเบาเหลือใช้จากการก่อสร้างกลับมาเป็นส่วนผสมในการแปรรูป เพื่อสร้างบล็อกคอนกรีตใหม่ นำกลับมาใช้ทำแผ่นทางเท้า ช่องลมระบายอากาศ และของตกแต่งภายในแลนด์สเคป โดยนับจากนี้ บริษัทจะเพิ่มการใช้การก่อสร้างด้วยระบบพรีคาสต์ในการก่อสร้างคอนโดมิเนียมจาก 50% เป็น 80% ภายในปีพ.ศ. 2564 ซึ่งจะสามารถลดขยะคอนกรีตที่เกิดจากการก่อสร้างโดยวิธีก่ออิฐฉาบปูนได้ถึง 1,600 ตันต่อปี ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถช่วยโลกลดก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gas) ได้มากกว่า 48 ตันต่อปี เท่ากับพื้นที่สีเขียวของป่าไม้ 36 ไร่ รวมทั้งตั้งเป้าหมายในการเดินหน้าประกาศภารกิจในการลดปริมาณขยะคอนกรีตจากการก่อสร้างในโรงงานพรีคาสต์ของแสนสิริเป็น 0% หรือ Zero Waste ภายในสิ้นปี พ.ศ. 2562
ในด้านการกำจัดขยะจากการบริโภคของลูกบ้าน บริษัทได้ทุ่มงบประมาณ 600,000 บาท ติดตั้งเครื่องFood Waste Machine จำนวน 10 เครื่อง บนพื้นที่ส่วนกลางในทุกโครงการแนวสูงที่จะพัฒนาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป โดยตั้งเป้าหมายขยายการใช้งานใน 23 โครงการ ในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยในช่วงปีแรกสามารถแปรรูปขยะมูลฝอยได้มากถึง 18 ตันต่อปี จาก 10 โครงการ และคาดว่าเมื่อครบทั้งสิ้น 23 โครงการ จะสามารถแปรรูปขยะมูลฝอยเฉลี่ย 42 ตันต่อปี นอกจากนี้ ยังได้ติดตั้ง Refun Machine เครื่องรับคืนขวดพลาสติกและกระป๋องในทุกโครงการแนวสูง รวมทั้งสิ้น 23 โครงการ ภายในปี พ.ศ. 2564 และร่วมมือกับสตาร์ทอัพในการพัฒนาแอพพลิเคชั่น Goo Greens เพื่อนำเสนอความรู้เกี่ยวกับการแยกขยะให้กับลูกบ้านและให้ลูกบ้านได้สนุกกับการสะสมคะแนนเพื่อแลกของสมนาคุณต่างๆ ซึ่งเริ่มนำมาใช้แล้ว ทั้งในโครงการแนวราบ ที่เศรษฐสิริ จรัญฯ-ปิ่นเกล้า และโครงการแนวสูงภายในฮาบิโตะมอลล์ รวมทั้งได้นำร่องติดตั้งเครื่อง Home bio gas หรือนวัตกรรมเครื่องเปลี่ยนขยะมูลฝอยเป็นก๊าซหุงต้มที่โรงแรมเอสเคป เขาใหญ่ และในส่วนของสำนักงานใหญ่ เซลล์ ออฟฟิศ และเซลล์ แกลอรี่ บริษัทตั้งเป้าหมายในการยกเลิกการใช้ขวดน้ำดื่มพลาสติก 100% ภายในปลายปีหน้า”
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ส่งเสริมการพัฒนาด้าน Energy Saving & Generation เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าทดแทนให้กับโครงการต่างๆ ของบริษัท โดยมีแผนติดตั้ง Solar Roof ครอบคลุม 31 โครงการ ภายในปี พ.ศ. 2564 ซึ่งจะส่งผลให้ผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ 2 เมกกะวัตต์ พลังงานสะอาดที่ผลิตได้เทียบเท่ากับปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ชาร์จสมาร์ทโฟนถึง 1,400 ล้านเครื่อง ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 2,223 ตันต่อปี หรือคิดเป็นพื้นที่ป่าสีเขียวประมาณ 1,600 ไร่ นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนลดการใช้พลังงานในโครงการที่อยู่อาศัยทั้งในโครงการแนวราบและแนวสูง ด้วยการใช้นวัตกรรมที่ช่วยถ่ายเทอากาศและลดอุณหภูมิในที่อยู่อาศัย ได้แก่ นวัตกรรม Cooliving Designed Home ที่ประกอบด้วย Solar Attic การใช้พัดลมที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ช่วยลดความร้อนใต้หลังคาบ้าน ทำให้อากาศภายในตัวบ้านเย็นลง และ Shading Screen ระแนงกันแดดที่ออกแบบโดยคำนึงถึงทิศทางของบ้าน เป็นต้น
นายอุทัย กล่าวต่อไปว่า “ด้านการเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตของลูกบ้านที่สมบูรณ์แบบ หรือ “Smart Move” บริษัทได้นำเสนอแนวคิด Complete your living experience และร่วมมือกับ 4 พันธมิตรหลัก Honda, Haupcar, SHARGE และ EA Anywhere สร้างแพลตฟอร์มบริการยานพาหนะระบบเช่า รวมทั้งติดตั้ง Electronic car sharing และ EV Charger ครบทุกโครงการแนวสูงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป ซึ่งปัจจุบันติดตั้งไปแล้ว 5 สถานีรวม 11 คัน และเตรียมเพิ่มอีก 4 สถานีรวม 6 คัน ในปีหน้า คาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 7.5 ตันต่อปี หรือคิดเป็นพื้นที่ป่าสีเขียวประมาณ 5.7 ไร่ พร้อมกันนี้ ยังได้วางเป้าหมายเพื่อต่อยอดโดยเปิดตัวพันธมิตรใหม่ e-scooter ให้บริการใน 2 โครงการสำคัญอีกด้วย และสุดท้ายในส่วนของ Sustainability การบริหารเพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน บริษัทได้เตรียมความพร้อมสร้างความร่วมมือกับองค์กรเพื่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ โดยนับเป็นอสังหาริมทรัพย์รายแรกที่จับมือกับกลุ่มอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่ในเมือง หรือ Big Tree เพื่อจัดการต้นไม้ใหญ่ในโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน โดยนำหลักสูตรรุกขกรรมมาอบรมนิติบุคคลและเจ้าหน้าที่ที่ดูแลโครงการ ดูแลตัดแต่งต้นไม้ใหญ่ให้สวยงามและยั่งยืนในทุกโครงการ เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของลูกบ้านและรักษาสภาพแวดล้อมให้ร่มรื่นและเพิ่มมูลค่าโครงการ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญด้านการออกแบบอย่างยั่งยืน หรือ Sustainability design ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการออกแบบให้ลดการใช้ทรัพยากรและพลังงาน ผสานกับฟังก์ชั่นการใช้งานอย่างลงตัว อาทิ การออกแบบที่พักตอบโจทย์เรื่องอยู่สบายและลดอุณหภูมิภายในบ้าน เพื่อลดปริมาณการใช้พลังงาน ด้วยนวัตกรรม Cooliving Designed Home ในโครงการแนวราบ และนวัตกรรม Ventilation Door คอนโดมิเนียมหายใจได้ใช้ในโครงการแนวสูงซึ่งปัจจุบันบริษัทได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม เดอะ ไลน์ พหลโยธิน พาร์ค เป็น “Green Condominium” เต็มรูปแบบ โครงการแรก และจะนำแนวคิดไปต่อยอดปรับใช้กับโครงการที่จะพัฒนาต่อไปในอนาคตทุกโครงการ”
Sansiri Green Mission ทั้ง 4 คำมั่นสัญญาหลัก ได้แก่ Waste Management | Smart Move | Energy Saving & Generation และ Sustainability นับเป็นการผสมผสานนวัตกรรมสีเขียวตลอดวงจรธุรกิจและเป็นโมเดลแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมสอดรับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนครบทุกวงจร ตั้งแต่ Reduce – Recycle – Design – Retailer – Consumers ซึ่งมั่นใจว่าภายใน 3 ปี Sansiri Green Mission จะเป็นกุญแจขับเคลื่อนการสร้างเมืองแห่งอนาคตที่มีความยั่งยืนด้านพลังงาน อันจะนำมาซึ่งจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่จะยกระดับมาตรฐานของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยให้ก้าวสู่การให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” นายอุทัยกล่าวสรุป
ขอบคุณข้อมูลจาก www.sansiri.com