Economic Outlook 2019 : เศรษฐกิจไทย ไม่หมูอย่างที่คิด !!!
Economic Outlook 2019 : เศรษฐกิจไทย ไม่หมูอย่างที่คิด !!!
หลายคำถามที่เกิดขึ้นในปี 2019 ว่าปีนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยในปี2020 หรือไม่ ? เพราะผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป และเศรษฐกิจจีนเอง ก็ไม่ได้สดใส เห็นจากภาวะชะลอตัวเร็วและแรงกว่าที่คาดไว้ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา กระทบไปถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคชาวจีนที่แผ่วลงตามไปด้วย
สงครามการค้าจะไปต่ออย่างไร ??
ข้อมูลจากนาย พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการอาวุโสสายงาน Global Business Development and Strategy ธนาคารกรุงไทย ระบุว่า ผลกระทบจากสงครามการค้า เพิ่งส่งผลในวงกว้างช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 2018 (หลัง ก.ย.18) จากการขึ้นภาษีนำเข้าโดยสหรัฐ ในอัตราภาษี 10% บนสินค้าจีนมูลค่ากว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ เป็นปัจจัยกดดันให้คาดว่าจะกระทบทั้งปี และอาจรุนแรงเพิ่มขึ้น เพราะอัตราภาษีจะถูกปรับขึ้นเป็น 25% ถ้าสหรัฐฯและจีน ไม่สามารถเจรจากันได้ภายในเดือนมีนาคม แต่ในกรณีที่เจรจากันได้ปัญหาจะคลี่คลายลงในช่วงครึ่งปีหลัง และคาดว่าจะไม่นำไปสู่ภาวะ recessions หรือภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยในปี 2563 อย่างแน่นอน
ชี้ปี 2019 เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วง Late Cycle Recovery มากกว่าภาวะ Recession
ทั้งนี้คาดว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มลดลง โดย กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2019 จะขยายตัวได้ 3.7% และทรงตัวในระดับเดิมในปี 2020 เพราะผลของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯจะทยอยหมดลง ในปี 2019 ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเป็นช่วงขาขึ้น ทำให้เศรษฐกิจโลกต้องเผชิญความเสี่ยงในอนาคต
ซึ่งตามคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ธ.กรุงไทย คาดว่าในปี2019-2020 เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วง Late Cycle Recovery คือช่วงปลายของการฟื้นตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นช่วง 10 ปีก่อน ซึ่งนโยบายช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ในสหรัฐฯและยูโรโซนกำลังจะหมดลง ทำให้เศรษฐกิจจะไม่โตแบบเร่งตัวเหนือศักยภาพในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่ตลาดเงินและตลาดทุน รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนจะมีความผันผวนมากขึ้น
จับตาความเสี่ยงเศรษฐกิจจีนกระทบไทยโดยตรง
แต่สิ่งที่ต้องจับตาก็คือ ภาวะเศรษฐกิจจีน ที่อาจมีผลกระทบกับไทยมากกว่า เพราะจีนเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1ของไทย คิดเป็น 12% ของตลาดส่งออกทั้งหมด และมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นอันดับ 1 คิดเป็น 28% ของนักท่องเที่ยวต่างประเทศทั้งหมด ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลัง 2018 ทั้งการส่งออกและจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนลดลงอย่างเห็นได้ชัด
สัญญาณหลายอย่างบอกว่าในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 2018 เศรษฐกิจจีนชะลอตัวเร็วและแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก โดยเฉพาะยอดขายรถยนต์ในจีน ลดลงกว่า 11.7% ในเดือนตุลาคม เพราะผู้บริโภคชาวจีนตัดสินใจเลื่อนการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยออกไป ขณะที่ภาคการผลิตก็ชะลอตัวลง โดยเฉพาะยอดสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ (New Export Order) เป็นผลมาจากสหรัฐฯเริ่มเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าภาคการผลิตจีนจะชะลอตัวถึงไตรมาส 1 เป็นอย่างต่ำ
ทั้งนี้คาดว่าไทยจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มเครื่องสำอาง,อัญมณี รวมถึงยอดส่งออกสินค้า ในกลุ่มยานยนต์,สินค้าเกี่ยวกับกีฬาและเครื่องสำอาง ที่อาจลดลงเช่นกัน
ภาวะเศรษฐกิจไทย ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น
สายงาน Global Business Development and Strategy ธนาคารกรุงไทย ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) อยู่ที่ 4.1% จากเดิมคาดว่าจะโตที่4.3% ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าโดยตรง โดยกลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปีนี้ จะมาจากการลงทุนของภาครัฐ ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 7.2 และการลงทุนเอกชนที่จะขยายตัวได้ 5.5% ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนทรงตัวอยู่ที่ 4.3% เท่ากับปีที่ผ่านมา
ส่วนการส่งออกไทยปีนี้ ได้ปรับลดคาดการณ์มาอยู่ที่ 4% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 7-8% ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวจะขยายตัวอยู่ที่ 4.5% โดยจะต้องจับตานักท่องเที่ยวจีนอย่างใกล้ชิดว่าจะเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี2562 ได้หรือไม่
ทั้งนี้ ได้ประมาณการณ์จีดีพี อยู่บนสมุติฐานว่ามีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี จะส่งผลให้การลงทุนโครงการขนาดใหญ่เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ และจะช่วยหนุนความเชื่อมั่นนักลงทุนให้เศรษฐกิจไทยโตได้ตามเป้าหมาย
สำหรับอัตราดอกเบี้ยที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น นายกิตติพงษ์ เรือนทิพย์ รองผู้อำนวยการ สายงานGlobal Business Development and Strategy ธนาคารกรุงไทย คาดการณ์ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในประเทศ ในช่วงครึ่งปีหลังมาอยู่ที่ระดับ 2% ในปี 2019 หลังจากที่คงระดับ 1.5% มาเป็นเวลาเกือบ 4 ปี
ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยมาแตะระดับ 2% ถือว่าน้อย เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 3% ในปีนี้ ทั้งนี้ในระยะยาวคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท. จะขึ้นไปแตะระดับ 3% ในปี 2020-2021 แต่ก็ไม่น่ากังวลเพราะใน Cycle นี้ เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าอดีตมาก จาก Cycle การขึ้นดอกเบี้ย ตั้งแต่ปี 2004-2021
**ทั้งนี้จากการศึกษาของ ธปท. พบว่า หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายเปลี่ยนไป 1% อัตราดอกเบี้ย MLR จะเปลี่ยนไป 0.33-0.48% โดยเฉลี่ย**
Cycle การขึ้นดอกเบี้ย |
จุดเริ่มต้น |
1 ปีผ่านไป |
สิ้นสุด Cycle |
เงินเฟ้อสูงสุด ใน Cycle |
2004-2006 |
1.25% |
2.75% |
5.00% |
4.70% |
2010-2011 |
1.25% |
3.00% |
3.50% |
3.80% |
2018-2021 |
1.50% |
2.00% |
3.00% |
2.00% |
ที่มา: ข้อมูลจาก ธปท.
อสังหาฯจับตาความเสี่ยง เมื่อเจอมาตรการ LTV ของ ธปท.
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มเติม ที่มีผลบังคับใช้ 1 เมษายน 2562 โดยกำหนดเพดานของสินเชื่อที่สามารถกู้ได้ต่อมูลค่าที่เป็นหลักประกัน ไม่ให้เกิน 100% หรือที่เรียกว่า Loan-to-Value Limit (LTV) ซึ่งผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยสัญญาที่ 2 เป็นต้นไปหรือ ซื้อมูลค่ามากกว่า 10 ล้านบาท จะกู้ได้ลดลง และต้องผ่อนดาวน์ตามเกณฑ์ที่ ธปท. กำหนด
ต่ำกว่า 10 ล้านบาท |
สัญญาแรก สัญญาที่ 2 · ผ่อนมากกว่า 3 ปี · ผ่อนน้อยกว่า 3 ปี สัญญาที่ 3 ขึ้นไป
|
100 %
90% 80% 70% |
10 ล้านบาทขึ้นไป |
สัญญา 1-2 สัญญาที่ 3 ขึ้นไป
|
80% 70% |
ที่มา: ข้อมูลจาก ธปท.
โดยเกณฑ์ใหม่นี้จะเป็นกลไกดูดซับสินเชื่อส่วนเกินของภาคอสังหาริมทรัพย์ ได้ประมาณ 9% และควบคุมสินเชื่อเกิดใหม่ได้ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท
โดยคาดการณ์ว่า ม.LTV จะกระทบผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย 3 แบบ คือ
กรณี |
การตอบสนองของผู้ซื้อ |
ลักษณะของผู้ซื้อ |
ผลกระทบตลาดอสังหาฯ |
1 |
กู้ซื้อเหมือนเดิม ในราคาเดิม |
พร้อมซื้อ ไม่มีปัญหาทางการเงิน |
· ไม่กระทบยูนิตที่ขายได้ · ไม่กระทบราคาบ้าน · ยอดสินเชื่อใหม่ลดลง 4% มูลค่า 13,243 ล้านบาท |
2 |
กู้ซื้อเหมือนเดิม ในราคาลดลง |
มีความจำเป็นต้องซื้อ |
· ไม่กระทบยูนิตที่ขายได้ · ราคาบ้านลดลง · ยอดสินเชื่อใหม่ลดลง 9% มูลค่า 26,390 ล้านบาท |
3 |
ชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อน |
ไม่มีความพร้อมด้านการเงิน/ซื้อเพื่อลงทุน |
· ยูนิตที่ขายได้ลดลง · ราคาบ้านลดลง ยอดสินเชื่อใหม่ลดลง 22% มูลค่า 65,733 ล้านบาท |
ที่มา: ข้อมูลจาก ธปท.
อย่างไรก็ดีเพื่อป้องกันผลกระทบผู้ประกอบการควรกระจายกลุ่มเป้าหมายให้มากขึ้น เช่น ผู้ที่ซื้อบ้านสัญญาแรก รวมถึงสร้างการเติบโตในตลาดใหม่ เพิ่มสัดส่วนธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่า กระจายธุรกิจสู่นิคมอุตสาหกรรม ให้มากขึ้น