ภาษิตเตือนใจในวงการหุ้น คือ อย่าทำตัวเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟ เพราะผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่คุ้มกับเดิมพันที่ต้องเสียไป แต่ภาษิตนี้อาจใช้ไม่ได้สำหรับเหล่ามดงานที่มีเป้าหมายจะพุ่งชน หวังจะเติบโตในสายงาน เพราะการทำงานก็เปรียบเหมือนการเดินทาง ถ้าไม่เสี่ยงที่จะออกไปผจญภัย หรือ เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ก็ไม่มีวันได้เห็นโลกกว้างด้วยสองตา

         ปัญหา คือ เส้นแบ่งระหว่างความเสี่ยงที่จะนำไปสู่หุบเหว กับ ความเสี่ยงที่จะพาไปสู่อนาคตที่หวังไว้อยู่ตรงไหน และจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไหร่ ควรเสี่ยงหรือควรเซฟ ถ้ายังหาคำตอบไม่ได้ ลองตอบคำถามนี้ดู ไม่แน่คุณอาจจะพบคำตอบที่ไม่มีใครตอบได้ดีกว่าคุณซ่อนอยู่

         1.สุขกับสิ่งที่มี หรือ ทะยานไปสู่สิ่งที่หวัง ก่อนอื่นถามตัวเองให้หนักว่า คุณพอใจกับหน้าที่การงานที่ทำอยู่หรือไม่ คุณได้ในสิ่งที่คุณคิดว่าคู่ควรจะได้หรือเปล่า คุณได้มีโอกาสฝึกปรือวิชาความรู้ที่คิดว่าจะต่อยอดสายงานที่ทำอยู่ใช่หรือไม่ ถ้าคำตอบคือ “ไม่” นี่อาจเป็นจุดสตาร์ทที่คุณต้องกลับมาถามตัวเองใหม่แล้วว่า เป้าหมายในชีวิตของคุณคืออะไร คุณจะปล่อยให้ชีวิตโลดแล่นอยู่ในคอมฟอร์ตโซนแบบนี้ต่อไป หรือ เลือกที่จะวางเดิมพันเพื่อทะยานตัวเองขึ้นไปอีกขั้น

         2.อย่าเอา “เงินเดือน” เป็นมาตรวัดเป้าหมาย หัวใจสำคัญของการใช้ชีวิตคือ งานและชีวิตส่วนตัวต้องไม่ล้ำเส้นซึ่งกันและกัน ถึงเงินจะมีอานุภาพซื้อได้ทุกอย่าง แต่บางครั้งเงินก็ซื้อความสุขที่แท้จริงไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก่อนคิดจะเสี่ยงลาออกจากงาน หรือ เลือกที่จะทุ่มสุดตัวให้กับงานไหนเพื่อหวังจะคว้าเงินเดือนก้อนโต ลองบวกลบคูณหารองค์ประกอบอื่นๆ อย่างวัฒนธรรมองค์กร เพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน หรือ แม้แต่ตารางชีวิตที่ต้องเปลี่ยนไปเข้าไปด้วย จะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลังว่า ทำไมงานดี เงินมา แต่ไลฟ์สไตล์พัง สังคมไม่มี

         3.ติดกับดักหรือก้าวให้พ้นจากจุดที่ยืน อย่ามองผ่านโอกาสที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณกำลังรู้สึกราวกับชีวิตกำลังเหยียบกับดัก อย่าสิ้นหวัง หรือ แม้แต่คิดจะก้มหน้ารับสภาพ จงมองหาหนทางที่จะพาตัวเองออกไปจากวงโคจรนี้ ด้วยการใฝ่หาความรู้ เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เพิ่มเติม เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเติมสารอาหารที่ชื่อความรู้ให้กับสมอง ของแถมที่ตามมาแน่นอนคือ ความเชี่ยวชาญ ความมั่นใจ และ โอกาสที่จะไปต่อ

         4.กระโจนไปในทิศทางที่หัวใจร่ำร้อง ชีวิตคนเราอาจจะมีโอกาสเจอซอยตัน แต่ไม่มีวันไร้ทางออก เพราะต่อให้ทางข้างหน้าไปต่อไม่ได้ คุณก็ยังสามารถถอยหลังกลับมาทางเดิมเพื่อมองหาเส้นทางใหม่ อย่าปล่อยให้งานที่ทำอยู่ดับไฟฝันให้มอดลง ต่อให้ไฟฝันที่ว่าจะไม่โชติช่วงเหมือนวันวาน แต่ก็ยังไม่ดับมอด ขอแค่กล้าเสี่ยงที่จะเติมเชื้อไฟ คุณก็อาจพบบันทึกบทใหม่ของชีวิต ไม่สำคัญว่าคุณจะเป็นมนุษย์เงินเดือนมาทั้งชีวิต หรือ เพิ่งจบใหม่ ลองเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากการทำงานพาร์ทไทม์ ฟรีแลนซ์ ไม่แน่คุณอาจพบอีกเส้นทางที่น่าเดินกว่า

         5.เรียนรู้ที่จะ “ปฏิเสธ” โลกแห่งการทำงานยุคใหม่ เน้นพนักงานที่ต้องมีมัลติสกิลก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องพร้อมรับ ทำทุกหน้าที่ หากคุณรู้สึกว่าภาระงานที่ถาโถมจะส่งผลต่อความเป็นมืออาชีพ ล้ำเส้นการทำงานและชีวิตส่วนตัวของคุณมากเกินไป คุณอาจจำเป็นต้องหาวิธีปฏิเสธให้เป็นเพื่อคงมาตรฐานการทำงานของตัวเองไว้

         6.ทำในสิ่งที่มีความสุข ฟังดูอาจเหมือนเพ้อฝัน แต่นี่คือสัจธรรมของชีวิต คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แรงใจสำคัญที่พาให้มาสู่ความสำเร็จ คือ แพชชั่นอันแรงกล้า แต่สำหรับคนบางคนที่ชีวิตนี้อาจไม่ได้มีแพชชั่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากพอที่จะหยิบมาเป็นเข็มทิศชีวิต ก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ขอแค่รู้ตัวเองว่า ทำสิ่งไหนแล้วมีความสุข ก็เลือกทำตามสิ่งนั้น ถ้าทำสิ่งไหนแล้วหัวใจสั่งลุย โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็มากกว่าล้มเหลว

         รู้อย่างนี้แล้ว คงตอบตัวเองได้แล้วว่า ทำไมต่อให้หลายคนรู้ว่าเสี่ยง แต่ก็ยังเลือกที่จะขอลอง...