กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ “ALL” ลั่นไม่ขายหุ้น เชื่อธุรกิจมีศักยภาพในการเติบโตต่อเนื่อง
ALL ยันกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 73.21% ไม่ขายหุ้นแน่นอน เชื่อธุรกิจมีศักยภาพในการเติบโตต่อเนื่อง “ธนากร ธนวริทธิ์” ลั่นมีความตั้งใจทำงาน หวังเป็นหุ้นที่เติบโตแบบ Growth Stock มั่นใจ 3 ปี ผลงานเติบโต 100% ต่อปี หลังตุน Backlog ในมือมูลค่ารวม 7,200 ล้านบาท และมีสินค้าพร้อมขายอีกกว่า 12,000 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 1/2562 ขณะเดียวกันยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ตลอดปี
นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL กล่าวว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ตระกูล "ธนวริทธิ์" ที่ถือหุ้นรวมกัน 4 ราย คิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้นรวม 73.21% ไม่มีความประสงค์จะขายหุ้นออก ซึ่งกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่มีความตั้งใจจะทำงาน เพื่อให้บริษัทมีการเติบโตที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง และเป็นหุ้นที่เติบโตเร็ว หรือ "Growth Stock" โดยหลังจากที่บริษัทได้ระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดในมือมากขึ้น มีสภาพคล่องในการขยายธุรกิจ
“กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่มีนโยบายขายหุ้น และขอยืนยันว่าจะไม่ขายหุ้นแน่นอน เพราะเราเชื่อว่าบริษัทมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เราจะเติบโตเป็นเส้นแบบ 45 องศา ซึ่งในช่วง 3 ปี เราจะเติบโตในระดับ 100% ต่อปี จากยอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีในมือ ขณะเดียวกันเรายังมีสินค้าพร้อมขายอีก และยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ช่วยให้เรามีสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจได้ดีขึ้น” นายธนากร กล่าว
สำหรับรายชื่อกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 4 ราย ล่าสุด ณ วันที่ 2 เมษายน 2562 ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกอบด้วย 1.นายธนากร ธนวริทธิ์ ถือหุ้นจำนวน 291,099,900 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 51.98%, 2.นางสาวชวนา ธนวริทธิ์ ถือหุ้นจำนวน 78,720,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 14.06%, 3.ดญ.สิริกร ธนวริทธิ์ ถือหุ้นจำนวน 20,090,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 3.59% และ 4.ดญ.กชพรรณ ธนวริทธิ์ ถือหุ้นจำนวน 20,090,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 3.59%
ทั้งนี้ การเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทมีวัตถุประสงค์ของการระดมทุนใช้ในการขยายธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องในทุกส่วน ทั้งลูกค้า และผู้รับเหมา เป็นต้น ซึ่งจะผลักดันให้บริษัทก้าวสู่การเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศไทย
โดยเงินระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 735 ล้านบาท บริษัทใช้ชำระคืนหนี้ที่เป็นหุ้นกู้ จำนวน 300 ล้านบาท ที่จะทยอยครบกำหนดตั้งแต่ไตรมาส 3/2562-3/2563 ขณะเดียวกันยังมีโครงการ ไรส์ พระราม 9 (Rise Rama 9) มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท เริ่มทยอยส่งมอบต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 2/2562 ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีกระแสเงินสดในการชำระเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตาม การทยอยชำระหนี้ดังกล่าวจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) และอัตราส่วนภาระหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อทุน (Interest-Bearing Debt : IBD/E Ratio) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
นายธนากร กล่าวอีกว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีจากนี้ (ปี 2562-2564) จะมีอัตราการเติบโตที่ระดับ 100% ต่อปี จะมาจากการทยอยส่งมอบยอดขายรอโอน (Backlog) และบริษัทยังมีสินค้าเหลือขายที่สามารถขายได้ทันที ขณะเดียวกันบริษัทยังมีแผนเปิดขายโครงการใหม่ๆ ซึ่งจะรองรับการเติบโตในอนาคต ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัทมียอด Backlog ในมือมูลค่ารวมประมาณ 7,200 ล้านบาท จาก 13 โครงการในมือ และยังมีสินค้าเหลือขายในมือมูลค่ารวมกว่า 12,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสินค้าพร้อมโอน (สต๊อก) ภายในปี 2562 ประมาณ 40% ซึ่งจะสามารถรับรู้เป็นรายได้ทันทีหลังการขาย
นอกจากนี้ ในปี 2562 บริษัทยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่รวม จำนวน 6 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 18,250 ล้านบาท ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายจะมียอดขาย (Presale) ที่ระดับ 70-80% ของมูลค่าโครงการ โดยในช่วง 4 เดือนแรก (มกราคม-เมษายน) ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายรวมแล้วที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท เป็นยอดขายจากโครงการเดิม และมีการเปิดขายโครงการ อิมเพรสชั่น เอกมัย (Impression Ekkamai) อย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งบริษัทมั่นใจทั้งปียอดขายจะเติบโตตามเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/2562 ทั้งยอดขาย ยอดโอนกรรมสิทธิ์ และกำไรสุทธิ จะเติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการทยอยส่งมอบยอดขายรอโอน (Backlog) โดยในช่วงไตรมาส 2/2562 มีโครงการสร้างเสร็จใหม่ จำนวน 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ ไรส์ พระราม 9 (Rise Rama 9) มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท และโครงการ เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว-นวมินทร์ (The Vision Ladprao-Nawamin) มูลค่าโครงการ 1,391 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 400 ล้านบาท จะเริ่มส่งมอบในเดือนมิถุนายนนี้ ขณะเดียวกันในช่วงไตรมาส 2/2562 บริษัทยังมีแผนเปิดขายโครงการใหม่ ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเหมือนที่ผ่านมา โดยในเดือนกรกฎาคมนี้ บริษัทจะเปิดขายโครงการโครงการ อิมเพรสชั่น เอกมัย (Impression Ekkamai) อย่างเป็นทางการ และในช่วงเดือนมิถุนายน บริษัทจะเปิดขายในทำเลสุทธิสาร-ลาดพร้าว
ขอบคุณข้อมูลจาก www.allinspire.co.th