10 ก.ค.2562 นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ในวันที่ 10ก.ค.นี้จะมีการพิจารณาทบทวนประมาณการตัวเลขการเติบโตผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) และการส่งออกปี 2562 ใหม่จากเดิมที่คาดไว้จีดีพีจะโต 3.7-4% และส่งออกโต 3-5% โดยมีแนวโน้มจะปรับตัวลดลง เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่กดดันทั้งสงครามการค้าสหรัฐและจีน รวมถึงสิ่งที่เอกชนกังวลคือภาวะค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างรวดเร็ว

          "ตัวเลขจะปรับลดเท่าใดนั้นกกร. คงจะต้องมาประเมินอีกครั้งโดยเฉพาะค่าเงินบาทที่แข็งค่าอยู่ระดับ 30.50-30.80 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ขณะนี้ถือเป็นการแข็งค่าที่รวดเร็วส่งผลต่อขีดความสามารถการแข่งขันของไทยอย่างมากจึงต้องการให้รัฐหามาตรการดูแลไม่ให้แข็งค่าเกินกว่าประเทศคู่แข่งทางการค้าโดยเฉพาะการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง" นายสุพันธุ์ กล่าว

          นายเกรียงไกร เธียรนุกูล รองประธานส.อ.ท.กล่าวว่า สิ่งที่เอกชนกังวลขณะนี้คือการแข็งค่าของเงินบาทที่มากกว่าประเทศภูมิภาคอาเซียนซึ่งบั่นทอนขีดความสามารถการแข่งขันของไทยและซ้ำเติมการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าซึ่งทำให้การส่งออกไทย 5 เดือนติดลบแล้ว 2.7%ขณะเดียวกันยังกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวที่เป็นอีกกลไกหนึ่งที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ดังนั้นกกร.คงจะต้องทบทวนตัวเลขเศรษฐกิจและการส่งออกใหม่ที่ลดลง

          "หลายสำนักเองก็มีการปรับเป้าเศรษฐกิจและส่งออกลดลงเกือบทั้งหมดโดยเลวร้ายสุดคือส่งออกติดลบ 1% ซึ่งในส่วนของส.อ.ท.เองมองส่งออกปีนี้จะอยู่ที่ 0-1% ส่วนกกร.จะมองเป็นเท่าใดก็คงต้องหารือเพราะหากค่าเงินบาทหลุด 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯโอกาสส่งออกจะติดลบก็มีสูงขึ้นซึ่งค่าเงินบาทไทยแข็งมากสุดในอาเซียนและอาจกล่าวได้ว่าเป็นอีกสกุลเงินหนึ่งที่แข็งค่าสุดในโลก เพราะมาจากปัจจัยสำคัญคือเงินทุนสำรองไทยค่อนข้างสูง"นายเกรียงไกร กล่าว

          ทั้งนี้ต้องการให้คณะรัฐมนตรี(ครม.)ชุดใหม่ที่จะเข้ามาทำงานในเร็วๆนี้โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจที่อาจต้องทำงานหนักขึ้นด้วยการเร่งดูแลระบบเศรษฐกิจระยะเร่งด่วนทั้งการดูแลค่าเงินบาทด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง การกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยเพื่อดูแลระบบเศรษฐกิจในประเทศ ระยะกลางให้เร่งเจรจา FTA กับประเทศต่างๆ เพิ่มตลาดส่งออกใหม่ๆ และระยะยาวการขับเคลื่อนการลงทุนตามโรดแมปไทยแลนด์ 4.0 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) เป็นต้น

          "สิ่งที่น่าจับตาขณะนี้คือผลจากสงครามการค้าทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตไปยังเวียดนามอย่างมากและทำให้ 5 เดือนแรกเวียดนามมีการส่งออกมูลค่าต่ำกว่าไทยเพียง 400 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้นขณะที่ปี 2561 นั้นไทยมีมูลค่าการส่งออกมากกว่าเวียดนาม 8 หมื่นกว่าล้านเหรียญสหรัฐซึ่งไม่แน่ว่ามูลค่าการส่งออกของเวียดนามปีนี้อาจแซงไทยได้"นายเกรียงไกร กล่าว
 

ขอบคุณข้อมูลจาก www.thaipost.net