“บ้าน” เป็นได้ทุกความต้องการ living - Asset - Passive Income กับ ANANDA  
 
 
 
             ท่ามกลางความฝันมากมายของคนวัยทำงาน หนึ่งในนั้นย่อมมีความฝันเกี่ยวกับ “อสังหาริมทรัพย์” สักหนึ่งอย่างเป็นแน่ นั้นเพราะอสังหาริมทรัพย์อย่าง “บ้าน” เป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิต  ตอบโจทย์พื้นฐานด้านการอยู่อาศัย แต่ความจริงแล้ว “ บ้าน” สามารถเป็นได้มากกว่านั้น ทั้งในแง่การรักษาเงินต้นและการลงทุนเพื่อสร้างรายได้ เช่นนั้นแล้ว การเลือกซื้อบ้านสักหลังในปัจจุบัน จึงต้องคัดสรรบ้านหลังที่สามารถตอบได้ทุกโจทย์ความต้องการ ทั้งในแง่ Living และการลงทุนเพื่อเป็น Asset ที่มาพร้อม Passive Income 
 
 
            ผู้ประกอบการ Ananda นอกจากจะทำอสังหาริมทรัพย์แนวสูงอย่างคอนโดมิเนียมแล้ว ยังพัฒนาที่ดินเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบ ด้วยเช่นกัน สร้างสรรค์โครงการ  “บ้านเดี่ยว” แบ่งเป็น 3 แบรนด์ดัง อย่าง Artale, Airi และ Atoll ที่มีความโดดเด่นตอบโจทย์การครอบครองบ้านของลูกค้าทุกกลุ่ม พร้อม 4 เหตุผลสะท้อนว่า บ้าน” เป็นได้ทุกความต้องการ living - Asset - Passive Income  รายละเอียดดังนี้
 
 
 ( ภาพ Infographic )
 
 
 
 
 
1. บ้าน บนทำเลดี ต้องอยู่ใกล้ถนนสายหลักและทางพิเศษ
 
 
             หากมองในแง่ Living ต้องยอมรับว่า “การเดินทาง” ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตประจำวัน  ไม่ว่าจะเป็น การเดินทางไปทำงานในวันปกติ หรือ จะเป็นการเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์  “บ้านเดี่ยว” ที่มีความน่าสนใจ จึงต้องอยู่ในทำเลที่แวดล้อมไปด้วยถนนสายหลักและทางพิเศษ อย่างถนนสายหลักฝั่งตะวันตกของกรุงเทพ เช่น ถนนพระราม 2, ถนนนครอินทร์ (พระราม 5)  เป็นต้น  ถนนสายหลักฝั่งเหนือของกรุงเทพ เช่น ถนนลำลูกกา, ถนนแจ้งวัฒนะ เป็นต้น ถนนสายหลักฝั่งตะวันออกโซนเชื่อมต่อ EEC เช่น ถนนลาดกระบัง เป็นต้น หากขยับเข้าเมืองมาหน่อย เช่น ถนนรามอินทรา, พัฒนาการ เป็นต้น ถนนสายหลักเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความสะดวกในการเดินทางแก่ลูกบ้านด้วยการเชื่อมต่อทางพิเศษ เช่น ทางพิเศษฉลองรัช, ทางยกระดับอุตราภิมุข, ทางพิเศษศรีรัช เป็นต้น เรียกว่าไม่ว่าจะเดินทางเข้าเมืองหรือออกเมือง ต้องสะดวกสบายในการเดินทางตลอดเวลา
 
 
 
 
2.บ้าน เป็น Asset อยู่ก็ได้ ปล่อยเช่าก็ดี 
 
 
            หากมองในแง่ Asset แล้ว “บ้าน” เป็นทรัพย์สินที่สร้างประโยชน์หลากหลายแก่ผู้ถือครอง ในขณะที่ทรัพย์สินบางประเภท อาจสร้างผลประโยชน์ในแง่ส่วนต่างราคาเท่านั้น เช่น ทองคำ เป็นต้น  “บ้าน” ยิ่งนานวัน โอกาสที่จะขายในราคาที่สูงขึ้นก็มีความเป็นไปได้ เรียกว่า “Cap Gain” หรือ ส่วนต่างราคาซื้อขาย ซึ่งก็คือผลตอบแทนจากการถือครองนั้นเอง ขณะเดียวกัน “บ้าน” ยังรองรับการอยู่อาศัย หากเจ้าของบ้านไม่ได้อยู่อาศัยเอง ก็สามารถประกาศปล่อยเช่า สร้างรายได้แบบ Passive Income ได้ด้วย ทั้งหมดนี้ คือ เสน่ห์ของการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ที่ไม่สามารถหาได้จากทรัพย์สินประเภทอื่น ๆ
 
 
 
 
 
 
3. บ้านพร้อมที่ดิน นานวัน ราคาที่ดิน ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปเรื่อย 
 
 
           ความพิเศษของการลงทุน “บ้าน” ที่ได้มากกว่าคำว่าบ้าน นั้นคือ “แปลงที่ดินของบ้าน” ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลของความจำกัดของที่ดิน หรือ ศักยภาพความเจริญที่เข้ามาในทำเลนั้น ก็ตาม ล้วนผลักดันให้ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อ้างอิงข้อมูลจาก สถิติราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน ปี 2559 - 2562 ของ กรมธนารักษ์ พบว่า ราคาที่ดินตามเส้นถนนสายหลัก ล้วนปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 10-30% จากรอบปีก่อน (ปี 2555 – 2558) อาทิ 
 
  • พระราม 2 ตารางวาละ 54,000-100,000 บาท จากเดิม 45,000-90,000 บาท 
  • แจ้งวัฒนะ ตารางวาละ 130,000-140,000 บาท จากเดิม 100,000-140,000 บาท 
  • ราชพฤกษ์ ตารางวาละ 50,000-70,000 บาท จากเดิม 65,000 บาท 
  • นครอินทร์ ตารางวาละ 70,000-80,000 บาท จากเดิม 60,000-80,000 บาท 
  • รามอินทรา ตารางวาละ 95,000-100,000 บาท จากเดิม 90,000-95,000 บาท 
  • พัฒนาการ ตารางวาละ 110,000-150,000 บาท จากเดิม 95,000-140,000 บาท
  • ลาดกระบัง ตารางวาละ 45,000-65,000 บาท จากเดิม 35,000-50,000 บาท 
  • ลำลูกกา(3312) ตารางวาละ 9,000-50,000 บาท จากเดิม 6,000-35,000 บาท
 
 
 
4. บ้าน บนทำเลศักยภาพอนาคต ด้วยโครงข่ายรถไฟฟ้า
 
 
              ปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันราคาบ้านให้ปรับตัวสูงไปอีก นั้นคือ  “ศักยภาพทำเลอนาคต” แน่นอนว่า โครงการข่ายรถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ ที่กำลังทยอยก่อสร้างทั่วกรุงเทพนั้น นอกจากสร้างความสะดวกสบายในการเดินทางของประชากรไทยแล้ว ยังเป็นการกระจายความเจริญสู่พื้นที่ต่าง ๆ อย่างทั่วถึง เช่น โครงข่ายรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายรองรับพื้นที่ฝั่งตะวันตก, โครงข่ายรถไฟฟ้าสายสีชมพูกับสีเขียวเข้มส่วนขยายรองรับพื้นที่ฝั่งเหนือ , โครงข่ายรถไฟฟ้าสายส้มรองรับพื้นที่ฝั่งตะวันออก เป็นต้น ทำเลรองรับโครงข่ายเหล่านี้ มีโอกาสที่เหล่าภาคเอกชนจะทำการลงทุนโครงการต่าง ๆ และเมื่อทำเลนั้นมีความเจริญมากขึ้น ราคาบ้านจึงมีโอกาสขายได้ในราคาสูงขึ้น สร้าง “Cap Gain” แก่ผู้ถือครองบ้าน นั้นเอง   
 
 
 
 
บ้านคุณภาพ Artale - Airi – Atoll จาก ANANDA
 
 
              ผู้ประกอบการ ANANDA พัฒนาที่ดินเป็น โครงการจัดสรรแนวราบ รองรับความต้องการที่อยู่อาศัยของคนไทย ตอบโจทย์การอยู่อาศัยแก่ทุกกลุ่มลูกค้า ด้วยระดับราคาขายตั้งแต่ 2.5 -30 ล้านบาทเลยทีเดียว โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ นั้นคือ
 
  • ระดับ Luxury  ด้วยบ้านเดี่ยวแบรนด์ Artale
  • ระดับ High – End ด้วยบ้านเดี่ยวแบรนด์ AIRI
  • ระดับ Mid – Scale  ด้วยบ้านเดี่ยวแบรนด์ Atoll
 
              ด้านทำเลที่ตั้งโครงการดังกล่าว ล้วนมีความโดดเด่นรองรับความเจริญด้านต่าง ๆ เรียกว่าตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้จริง ไม่ว่าจะด้วยวัตถุประสงค์ด้าน การอยู่อาศัยเอง หรือ การลงทุนปล่อยเช่า อาทิ 
 
  • Mass Transit รองรับการเดินทางของลูกบ้าน นอกจากถนนสายหลักแล้ว หลายโครงการยังอยู่อยู่บนทำเลรองรับโครงข่ายรถไฟฟ้าอนาคตอีกด้วย เช่น  รถไฟฟ้าสายสีเขียว (ช่วงคูคต-ลำลูกกา)รองรับลูกบ้านโครงการ เอโทล วงแหวนฯ-ลำลูกกา , รถไฟฟ้าสายสีชมพู (ช่วงแคราย-มีนบุรี)รองรับลูกบ้านโครงการ แอริ แจ้งวัฒนะ,  รถไฟฟ้าสายสีม่วง(เตาปูน-บางใหญ่) รองรับลูกบ้านโครงการ แอริ พระราม 5 – ราชพฤกษ์, รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-บางแค) รองรับลูกบ้านโครงการ แอริ พระราม 2 เป็นต้น 
  • ใกล้ แหล่งงาน/แหล่งสถานศึกษา ของกรุงเทพฯ  ไม่ว่าลูกบ้านจะอยู่อาศัยเองหรือปล่อยเช่าก็สามารถเป็นไปได้  ลูกบ้าน อาร์เทล เกษตรนวมินทร์ หรือ เอโทล บาหลี บีช  สามารถขับรถยนต์ขึ้นทางพิเศษเข้าสู่ตัวเมืองย่านแหล่งงานดังของกรุงเทพฯ ได้อย่างสะดวก  นอกจากนี้ ทำเลที่ตั้งโครงการดังกล่าว ยังแวดล้อมไปด้วยสถานศึกษาของไทยและนานาชาติ เช่น โรงเรียนนานาชาติกีรพัฒน์ (KPIS Internaional School) ย่านเกษตรนวมินทร์, International Community School (ICS) ย่านบางนา เป็นต้น  เรียกได้ว่า ล้วนเป็นทำเลรองรับการอยู่อาศัยทุกสมาชิกครอบครัว เลยทีเดียว
  • นับวันราคาที่ดินก็จะยิ่งสูงขึ้นไปเรื่อย คงดีไม่น้อยหากบ้านที่เราซื้อไว้ นอกจากการอยู่อาศัยเองแล้ว ยังเป็นการลงทุนสร้าง Cap Gain อนาคต เช่น อาร์เทล พัฒนาการ – ทองหล่อ เป็นต้น เรียกได้ว่าเป็นมรดกส่งต่อรุ่นลูกรุ่นหลาน นั้นเอง 
 
( ภาพโครงการ Artale - Airi – Atoll จาก ANANDA)
 
 
 
 
           ผู้ประกอบการ ANANDA เปิดตัวโครงการแนวราบแห่งแรกในปี 2556 ในแบรนด์ “ เอโทล (Atoll)”เรียกว่าสร้างประสบการณ์ใหม่ในการพักอาศัยของลูกบ้าน เน้นสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันพร้อมคลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่ เปิดขายในระดับราคา 2.5- 5 ล้านบาท ที่ใครก็สามารถเอื้อมถึงได้ ปัจจุบันโครงการที่ยังอยู่ระหว่างเปิดขาย คือ เอโทล บาหลี บีช(อ่อนนุช-ลาดกระบัง) ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท และ เอโทล วงแหวนฯ-ลำลูกกา ใกล้ BTS สายสีเขียว ราคาเริ่มต้น 4 ล้านบาท 
 
           โครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่เกิดขึ้นอีกครั้ง ในปี 2560 ผู้ประกอบการ ANANDA พัฒนาโครงการแนวราบ ภายใต้แบรนด์ “อาร์เทล (Artale)” รองรับความต้องการที่อยู่อาศัยระดับ Luxury ที่มีราคาเริ่มต้น 17 - 30 ล้านบาท ปัจจุบันโครงการที่ยังอยู่ระหว่างเปิดขาย คือ อาร์เทล เกษตร-นวมินทร์  เพียง 4 กิโลเมตรถึง CDC ราคาเริ่มต้น 25.9 ล้านบาท และ อาร์เทล พัฒนาการ-ทองหล่อ เพียง 3.5 กิโลเมตรจากทองหล่อ ราคาเริ่มต้น 30 ล้านบาท
 
            และในปี 2560 ผู้ประกอบการ ANANDA ยังพัฒนาโครงการแนวราบแบรนด์ “แอริ (Airi)”  รองรับความต้องการที่อยู่อาศัยระดับ High – End อีกด้วย  ปัจจุบันโครงการที่ยังอยู่ระหว่างเปิดขาย คือ แอริ พระราม 2 สะดวกเข้าออกหลายเส้นทาง เริ่ม 9.9 ล้านบาท, แอริ แจ้งวัฒนะ เริ่มต้น 11.6 ล้านบาท และ แอริ พระราม 5-ราชพฤกษ์ เริ่มต้น 9.9 ล้านบาท 
 
           สำหรับผู้ที่สนใจ 7 โครงการแนวราบ ภายใต้แบรนด์บ้านคุณภาพ Artale - Airi – Atoll จาก ANANDA  สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.ananda.co.th หรือ โทร. 02-316-2222