เบื่องานใช่ไหม? เช็คให้แน่ใจหมดใจหรือหมดไฟในการทำงาน
เบื่อ เครียด เหวี่ยง กับงานที่ทำอยู่รึเปล่า? จนต้องมาระบายลงในโซเชียลมีเดีย โพสต์สเตตัสพร้อมแฮชแท็กว่า #Ihatemyjob #Ihatemonday #TGIF #Happyfriday อาการเหล่านี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน เพราะแต่ละวันเราใช้เวลาอยู่ที่ทำงานมากกว่าในห้องนอนเสียอีก ยังไม่นับรวมเวลาในการเดินทางไปออฟฟิศและกลับบ้าน ถ้าเราได้ทำงานที่รักและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับองค์กร ก็ช่วยสร้างแรงจูงใจ ให้ตื่นมาทำงานด้วยความรู้สึกแฮปปี้ ตรงกันข้ามถ้ามีปัญหากับงานจนจัดการอารมณ์ไม่ได้ แน่นอนว่าส่งผลต่อจิตใจและร่างกาย หากปล่อยไว้นาน อาจทำให้ตกอยู่ในภาวะหมดไฟ (Burnout Syndrome) หรือหมดใจในการทำงาน (Brownout Syndrome) จนนำไปสู่โรคซึมเศร้าได้ เรามาทำความรู้จักสองอาการนี้ให้มากขึ้น แล้วเช็กให้ชัวร์สักนิดจะได้แก้ไขทัน
Burnout Syndrome
Burnout Syndrome เป็นอาการหมดไฟจากการทำงานหนักมากเกินไปและพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง รู้สึกเหนื่อยกับงานที่ทำ หรือเวลาอยู่ในออฟฟิศจะเครียด หน้านิ่วคิ้วขมวดตลอด เพราะอยากให้เวลาผ่านไปเร็ว ๆ จะได้กลับบ้านซะที จริง ๆ แล้ว อาการเหล่านี้ใคร ๆ ก็เป็นได้ แต่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่ถ้าทำแล้วก็ยังเครียดเหมือนเดิม ก็น่าสงสัยว่าคุณอาจจะตกอยู่ในภาวะหมดไฟ
สัญญาณของอาการหมดไฟ
เคยเป็นมั้ยครับ รู้สึกเหนื่อยตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำงานเลย ถอนหายใจตั้งแต่อยู่หน้าประตูออฟฟิศแล้ว เพราะเวลาร่างกายอ่อนแรง ก็ทำให้จิตใจอ่อนแอตามไปด้วย จากที่ไม่มีความสุขกับงานอย่างเดียว ก็ลามไปถึงเรื่องอื่น ๆ มองโลกในแง่ร้าย ไม่มีสมาธิในการทำงาน ขาดความกระตือรือร้น ขอแค่ให้งานเสร็จวันต่อวัน ไม่สนใจว่าผลงานจะออกมาดีมั้ย กลายเป็นวงจรชีวิตที่น่าเบื่อ เครียด ไม่อยากตื่นมาทำงาน ไม่อยากลุกออกจากเตียง บางคนอาจถึงขั้นร้องไห้เลย พออาการหนักเข้า ก็หาข้ออ้างลาหยุด ทั้งหมดนี้คือสัญญาณเตือนแล้วว่าคุณตกอยู่ในอาการหมดไฟ และอาจมีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าได้มากกว่าปกติด้วย
Brownout Syndrome
ทำความรู้จักกับอาการหมดไฟไปแล้ว ยังมีอาการหมดใจที่เรียกว่า Brownout Syndrome ด้วย ซึ่งข้อแตกต่างก็คือการหมดใจเกิดจากความเบื่อหน่ายหรือไม่พอใจกับคนและสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน มักจะเกิดขึ้นกับพนักงานที่มีความสามารถ ซึ่งสาเหตุอาจมาจากเพื่อนร่วมงาน กฎเกณฑ์ของบริษัท หรือการที่องค์กรให้ผลตอบแทนกับพนักงานเท่ากัน คือใครทำดีหรือไม่ดีก็ได้เท่ากันหมด ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ทำดีแค่ไหนก็เสมอตัว โดยรวมแล้วอาการ Brownout รุนแรงกว่า Burnout มาก เพราะส่งผลกับสภาพจิตใจของพนักงานเองและองค์กรด้วย
สัญญาณของอาการหมดใจ
คนที่เข้าข่ายอาการหมดใจ ภายนอกดูเป็นปกติทุกอย่าง แต่ในใจรู้สึกอึดอัดจนอยากระบายออกมาดัง ๆ ว่า ฉันมาทำอะไรที่นี่? แต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่เก็บไว้ในใจ พอเครียดแล้วก็ส่งผลกับสุขภาพ พักผ่อนน้อยและไม่ดูแลตัวเอง ที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือคนเหล่านี้อาจจะลาออกกลางคัน ทำให้คนอื่นช็อก ไม่ทันตั้งตัว อาการนี้มักจะเกิดกับพนักงานที่ทำงานเก่ง พวกเขามีโอกาสหางานใหม่ได้เร็ว จะลาออกเลยก็ไม่ใช่เรื่องยาก ถึงแม้เจ้านายจะยื่นข้อเสนอเพิ่มเงินหรือเลื่อนตำแหน่งให้ ก็ฉุดไว้ไม่อยู่ ถึงแม้จะเป็นงานที่รักมากขนาดไหน และยังสามารถทำงานได้ดีด้วย แต่ก็ยังรู้สึกว่าอยู่ผิดที่ผิดทาง องค์กรก็เสียโอกาสร่วมงานกับคนเก่ง
อย่างไรก็ตามภาวะ Burnout และ Brownout อาจเกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว สามารถรักษาให้หายได้ หากได้รับความร่วมมือจากองค์กร และเพื่อนร่วมงานที่ช่วยผลักดันปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรหรือระบบการทำงาน เปิดใจพูดคุยถึงความต้องการในการทำงาน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพื่อเติมไฟให้มีกำลังใจต่อไป ส่วนพนักงานก็ต้องปรับตัวเช่นกัน เรามี 4 แนวทางปฏิบัติง่าย ๆ เพื่อรับมือกับภาวะหมดไฟและหมดใจ
1. ตั้งเป้าหมายในการทำงาน
ถ้ารู้สึกว่าขาดความกระตือรือร้นในการทำงาน หรือทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ อาจจะเลือกตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ แล้วคิดว่าเราทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร ถ้าทำสำเร็จจะส่งผลดีอย่างไรบ้างกับตัวเราและองค์กร จะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องอื่น ๆ ก็ได้ เช่น วันนี้จะไม่เข้างานสาย หรือจะเขียนบทความให้เสร็จภายใน 2 ชั่วโมง และพยายามให้คุณค่าทุกงานเท่ากัน ไม่เลือกงานที่รักมักที่ชัง สร้างพลังบวกให้กับตัวเอง การทำเป้าหมายเล็ก ๆ สำเร็จ จะช่วยสร้างกำลังใจ และทำให้เรารู้สึกว่าเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้ประสบความสำเร็จ
2. หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพ
บางครั้งเราอาจทำงานหนักไปจนละเลยสุขภาพ เข้าใจว่าบางคนอยากให้งานเสร็จไว ๆ จนต้องหอบเอางานมาทำต่อที่บ้าน ไม่ก็ปั่นงานที่ออฟฟิศจนดึก สำหรับคนที่อายุ 20 ปลาย ๆ อาจจะคิดว่าร่างกายแข็งแรง นอนน้อยก็ยังมีแรงทำงาน แต่หากทำบ่อย ๆ จนติดเป็นนิสัย ย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว จนความเครียดสะสม ควรหาเวลาออกกำลังกายบ้าง ใส่ใจอาหารการกิน และพักผ่อนให้เพียงพอ สามเรื่องนี้เป็นสิ่งพื้นฐานที่ฟังดูเหมือนง่าย แต่บางคนกลับไม่ใส่ใจและหาข้ออ้างว่าไม่มีเวลา การดูแลตัวเองคือการสร้างวินัยที่ดี หากเราทำสำเร็จ ก็จะส่งผลดีต่อชีวิตด้านอื่น ๆ เมื่อความเครียดลดลง ก็คิดงานสร้างสรรค์ได้ไม่จำกัด
3. ใช้วันลาพักร้อน ออกห่างจากงานซะบ้าง
ถ้ารู้สึกไม่อยากไปทำงานเพราะเบื่อสิ่งแวดล้อมในออฟฟิศ หรือเพื่อนร่วมงาน ควรหาเวลาพักผ่อน อาจเลือกลาพักร้อน ออกไปเจอผู้คนและสถานที่ใหม่ ๆ เราอาจจะได้แรงบันดาลใจในการทำงานมากขึ้น ออกไปเปิดหูเปิดตา ท่องเที่ยวบ้าง ช่วยเติมไฟในการทำงานได้มากทีเดียว เป็นการเยียวยาสุขภาพจิตและร่างกายที่ดี และยังได้แรงบันดาลใจใหม่ ๆ ในการทำงานอีกด้วย เพราะการทำอะไรซ้ำ ๆ เจอคนหน้าเดิม ทำให้ชีวิตหมดความตื่นเต้นและน่าเบื่อ
4. ให้เวลากับสิ่งที่ไม่ใช่งาน
เมื่อมีเวลาว่างก็อย่าคิดแต่เรื่องงานอย่างเดียว ควรหาเวลาทำกิจกรรมอื่น ๆ บ้าง เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง ทำสวน ช้อปปิ้ง หรือให้เวลากับเพื่อนและครอบครัว นอกจากนี้งานอดิเรกบางอย่างอาจต่อยอดไปสู่รายได้เสริมอีกด้วย เช่น บางคนทำขนมเก่ง ก็ใช้เวลาหลังเลิกงานอบขนมส่งร้านกาแฟ หรือขายของออนไลน์ กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยให้ผ่อนคลายและเติมเต็มความสุข ลืมความเครียดจากการทำงาน เพราะเราจะโฟกัสกับสิ่งที่ชอบ ปัญหาหรือความเครียดที่มาจากงานของคุณก็จะดูเบาลงไป
ภาวะหมดไฟ หมดใจในการทำงาน เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่หากเรามีสติรู้ตัวว่าไฟกำลังจะมอด ควรพยายามแก้ปัญหา ลุกขึ้นมาเติมพลังให้ชีวิตซะบ้าง เพราะความสุขและความทุกข์ขึ้นอยู่กับตัวคุณ เราเลือกสร้างทัศนคติด้านบวกกับงานที่ทำได้ง่าย ๆ สร้างสมดุลให้งานกับชีวิตมีความสุขเท่ากัน
SOURCE : www.krungsri.com
ขอบคุณข้อมูลจาก
bltbangkok.com,
mangozero.com,
today.line.me,
posttoday.com,
samitivejhospitals.com,
health.kapook.com