“แจ้งวัฒนะ – ปากเกร็ด” ทำเลทาวน์โฮมดีมานด์สูง รับกลุ่ม Gen Y
ที่ผ่านมาอาจจะไม่เห็นการเปิดตัวโครงการแนวราบ บนทำเล "แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด" มากนัก ส่วนหนึ่งเกิดจากตัวทำเลที่มีพื้นที่ในการพัฒนาอยู่อย่างจำกัด ทำให้ผู้พัฒนาอสังหาฯส่วนใหญ่ เลือกพื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้าสายใหม่เปิดตัวคอนโดฯสูง รองรับการเข้ามาของรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วง แคราย- มีนบุรี กันอย่างคึกคัก เพราะเป็นเส้นทางที่มีสถานีเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายอื่น ๆ อีกถึง 5 สาย (สายสีแดง,สายสีเขียว,สายสีเทา,สายสีม่วง และสายสีส้ม) ทำให้ภาพรวมของที่อยู่อาศัยในโซน แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด กลับมาคึกคักอีกครั้ง
ส่วนโครงการแนวราบ โดยเฉพาะโครงการทาวน์โฮมในย่านนี้ ปัจจุบันมีอยู่ราว 20-25% จากโครงการที่อยู่อาศัยทั้งหมด แต่ด้วยความเป็นเมืองที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดีมานด์ความต้องการที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะทาวน์โฮมนั้นมีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถ้าอยู่ในโซนที่ใกล้เมืองเดินทางสะดวก ทั้งทางรถยนต์ รถสาธารณะ และรถไฟฟ้า บางโครงการราคาก็จะพุ่งสูงเกินกำลังของคน Gen Y ที่แม้ว่าจะมีความต้องการซื้อ แต่ก็ต้องถูกกำจัดด้วยงบประมาณเช่นกัน
ช่องว่างของการพัฒนาอสังหาฯนี้เอง ทำให้ ศุภาลัย กลับมาเร่งขยายตลาดแนวราบในหลายเซกเมนท์ เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าให้ได้ครอบคลุมตามความต้องการมากขึ้น นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯมีการพัฒนาโครงการแนวราบ แบ่งเป็น 3 Tier คือ Tier 1 ระดับราคา ตั้งแต่ 2-6 ล้านบาท อาทิ แบรนด์ bliss, Primo, bella และ PRIDE ส่วน Tier 2 ระดับราคา ตั้งแต่ 3-8 ล้านบาท อาทิ แบรนด์ Ville, GARDENVILLE, PARK Ville และ Tier 3 ระดับราคา ตั้งแต่ 7-30 ล้านบาท อาทิ แบรนด์ ESSENC, PRIMA VILLA
โดยใน Tier 2 ส่วนใหญ่จะเป็นโครงการบ้านเดี่ยว และ Tier 3 โครงการที่มีราคาเริ่ม 7 ล้านบาท จะเป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น ดังนั้นบริษัทฯจึงเห็นช่องว่างของการพัฒนา โครงการ ทาวน์โฮมที่ระดับ ราคา 3-5 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพ ใกล้เมือง เดินทางสะดวก รองรับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มคน Gen Y ที่ยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแบบทาวน์โฮม จึงเกิดเป็น “URBANA” ทาวน์โฮม 3 ชั้น แบรนด์ใหม่ รูปแบบใหม่ ในแนวคิด “Living Urban Life” เปลี่ยนที่อยู่อาศัยแบบเดิมๆ สู่ความท้าทายใหม่ๆ ที่สามารถออกแบบพื้นที่อเนกประสงค์ได้ตามไลฟ์สไตล์
โดยเลือกโครงการแรก ที่ทำเล “เออร์บานา เเจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด” บนพื้นที่ 9 ไร่ มูลค่าโครงการ 460 ล้านบาท เพราะมองว่าในโซนนี้เป็นอีกหนึ่งทำเลศักยภาพ ที่ราคาจะปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาในช่วง10 ปี ก็ปรับขึ้นจากราว 20,000 บาท/ตร.ว. ปัจจุบันมาอยู่ที่ 30,000 บาท/ตร.ว. และเป็นโซนที่เหลือพื้นที่ในการพัฒนาโครงการค่อนข้างจำกัด ทำให้การรวมที่ดินแปลงใหญ่ทำได้ยาก ดังนั้นการทำโครงการทาวน์โฮมบนพื้นที่นี้ พร้อมการดีไซน์บ้านแบบใหม่ และเพิ่มนวัตกรรม ด้วยระบบ Home Automation พร้อมวัสดุประหยัดพลังงาน ในระดับราคา 3-5 ล้านบาท น่าจะตอบโจทย์ รองรับดีมานด์จากคนกลุ่ม Gen Y อายุ 28-38 ปี ที่ต้องการพื้นที่อยู่อาศัย เพื่อขยายครอบครัว ทำธุรกิจ บนทำเลที่อยู่อาศัยเดิมได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้เชื่อว่าทาวน์โฮมแบรนด์ใหม่ “URBANA” จะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า และมีแผนเตรียมเปิด “URBANA” อีก 1 โครงการในฝั่งตะวันออกช่วงกลางปีนี้
“ต้องยอมรับว่าในช่วง 1-2 เดือนแรกปีนี้ ยอดขายแนวราบของศุภาลัย ยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน แต่ด้วยภาพรวมเศรษฐกิจ ปัญหาไวรัส โควิด -19 ระบาด ทำให้ลูกค้าที่ Walk in เข้าชมโครงการลดลงไปกว่า 15% แต่ก็มั่นใจว่าปีนี้จะไม่ปรับแผนธุรกิจ เพราะแนวราบได้รับผลกระทบน้อยกว่ากลุ่มคอนโดฯ โดยยังคงเตรียมเปิด 30 โครงการ เป็น แนวราบ 25 โครงการ และคอนโดฯ 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 30,000 ล้านบาท และตั้งเป้าพรีเซลล์ ที่ 26,000 ล้านบาท มาจากแนวราบ 65% และคอนโดฯ 35%
การมองเห็นช่องว่างของธุรกิจอสังหาฯ ในช่วงวิกฤตอย่างรวดเร็ว และพร้อมพัฒนาขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ บนทำเลที่ยังมีดีมานด์ ก็จะเป็นอีกหนึ่งทางให้การทำธุรกิจในยุคนี้เดินหน้าต่อไปได้ ควบคู่กับการพึ่งพานโยบายดอกเบี้ย มาตรการช่วยเหลือหลายด้านจากรัฐบาล”
ขอบคุณ : บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)