กรุงศรี เผยผลงานไตรมาสแรก ปี 63 ทำกำไรสุทธิ โต 9.3%
นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) - BAY เปิดเผยว่า ธนาคารและบริษัทในเครือ รายงานผลการดำเนินงานสำหรับงวดไตรมาส 1 ปี 2563 มีกำไรสุทธิจำนวน 7,033 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3% จากไตรมาส 4 ปี 2562 โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากกำไรจากการดำเนินงานที่เพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าจะมีการรับรู้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เพิ่มขึ้นตามแนวโน้มการชะลอตัวทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19
“แม้ว่าการแพร่ระบาดดังกล่าวจะส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อภาคการท่องเที่ยวในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 อีกทั้งยังมีมาตรการปิดเมืองที่เริ่มส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม 2563 แต่เงินให้สินเชื่อยังคงเติบโต 2.9% ในไตรมาส 1 ปี 2563 โดยมีความต้องการเงินทุนหมุนเวียนของกลุ่มลูกค้าธุรกิจเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก”นายเซอิจิโระ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินในช่วงไตรมาสแรก ปี 2563 ที่ผ่านมา ธนาคารมีกำไรสุทธิ: จำนวน 7.03 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3% เงินให้สินเชื่อ เพิ่มขึ้น 2.9% คิดเป็นจำนวน 52,000 ล้านบาท ขณะที่สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลปรับลดลง 6.1% จากการชำระหนี้ตามฤดูกาลและปริมาณการใช้จ่ายที่ชะลอตัวลง ส่วนเงินรับฝากเพิ่มขึ้น 6.4% หรือจำนวน 100,000 ล้านบาท ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ อยู่ที่ 3.94% ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย ลดลง 9.2% หรือจำนวน 869 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส4 ปี 2562
ในส่วนของอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ อยู่ที่ 41.0% ปรับตัวดีขึ้นจาก 43.7% ในไตรมาส 4 ปี 2562 ขณะที่อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ อยู่ที่ระดับ 2.22% เทียบกับ 1.98% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562 อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้: อยู่ที่ระดับ 159.1% เทียบกับ 163.8% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562 และ อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่15.66%
ปัจจุบัน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 ธนาคารซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าของไทยด้านสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินฝาก และเป็นหนึ่งในห้าสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.87 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก1.67 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.51 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 270.48 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 15.66% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของคิดเป็น 11.01%