SMART โชว์ผลประกอบการ Q1/63 รายได้รวม 117.92 ล้านบาท กำไรสุทธิ 12.52 ล้านบาท
SMART โชว์ผลประกอบการ Q1/63 รายได้รวม 117.92 ล้านบาท กำไรสุทธิ 12.52 ล้านบาท เผยไตรมาส 2/63 ธุรกิจฟอร์มดีต่อเนื่อง วัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบาเติบโตดี งานโครงการเมกะโปรเจค นโยบายโครงการ EEC โครงการอสังหาฯ ทยอยลงทุน สภาพอากาศร้อนหนุนความต้องการวัสดุลดความร้อนและประหยัดพลังงาน ชูกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้า เพิ่มช่องทางจำหน่ายทุกรูปแบบทั้งในและต่างประเทศ
นายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด (มหาชน) (SMART) ผู้ผลิตและจำหน่ายอิฐมวลเบาด้วยระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูงเพื่อใช้ในงานก่อสร้างและงานกั้นผนังอาคาร เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 117.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 107.20 ล้านบาท จำนวน 10.72 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10% และมีกำไรสุทธิ 12.52 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2.72 ล้านบาท จำนวน 9.80 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 360.57%
ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากปริมาณการใช้งานวัสดุอิฐมวลเบาของโครงการเมกะโปรเจคภาครัฐ โครงการก่อสร้างภาคเอกชน และราคาจำหน่ายอิฐมวลเบามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมาบริษัททำการตลาดเชิงรุก แนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จัก ผลักดันสินค้าผ่าน ช่องทางการจำหน่ายให้หลากหลาย และมีการขยายฐานลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการใช้กลยุทธ์ Online to Offline เพื่อกระตุ้นการสร้างยอดขายให้เติบโต โดยสัดส่วนรายได้จากช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น 83% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับแนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาส 2/63 คาดว่าจะสามารถเติบโตต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 จากที่งานภาครัฐชะลอหรือขยับออกไป ประกอบกับภาครัฐมีมาตรการสั่งปิดห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างในบางพื้นที่ อย่างไรก็ตาม กลุ่มโมเดิร์นเทรดได้มีการปรับกลยุทธ์การขายผ่านช่องทางออนไลน์ทดแทน และบริษัทมุ่งเน้นขยายช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านออนไลน์ เพื่อกระจายสินค้าเข้าสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากสภาพอากาศร้อน ส่งผลให้ปริมาณวัสดุลดความร้อนและประหยัดพลังงานมีความต้องการเพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนภาคเอกชนโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบ แนวสูง นิคมอุตสาหกรรม คลังสินค้าในเขตพื้นที่ EEC ส่วนงานภาครัฐ บริษัทยังคงได้รับงานโครงการเมกะโปรเจคและงานขนาดกลางที่มีการลงทุน
ขณะที่ตลาดต่างประเทศในกลุ่ม AEC ปัจจุบันบริษัทได้รับคำสั่งซื้อจากดีลเลอร์ในประเทศกัมพูชาและสปป.ลาวต่อเนื่อง โดยนำสินค้าเข้าไปใช้กับงานโครงการต่างๆ และนำสินค้าเข้าไปวางจำหน่ายในร้านขายวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างขนาดใหญ่ โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 490 ล้านบาท เติบโตอย่างน้อย 5% โดยสัดส่วนรายได้จะมาจากงานภาครัฐ 30% ภาคเอกชน 68% และต่างประเทศ 2%