RML เผยรายได้รวมปี 2563 เติบโตตามเป้า เน้นกลยุทธ์เพิ่มรายได้และกระแสเงินสด
RML เผยรายได้รวมปี 2563 เติบโตตามเป้า เน้นกลยุทธ์เพิ่มรายได้และกระแสเงินสด
บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML ผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่ของประเทศไทย เปิดเผยว่าแผนเพิ่มรายได้และสภาพคล่องเป็นไปตามที่วางไว้ สอดคล้องกับยอดพรีเซลครึ่งปีแรก 1,329 ล้านบาท ชูกลยุทธ์ปั๊มรายได้และกระแสเงินสด คาดทั้งปีรายได้โตตามเป้า 2,500 - 3,000 ล้านบาท
นายไลโอเนล ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ว่าการแพร่ระบาดของ COVID-19 ยังคงมีความไม่แน่นอนและทำให้ลูกค้าตัดสินใจยากขึ้น แต่ยังเชื่อว่าภาพรวมสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะปรับตัวดีขึ้นหลังวิกฤตนี้คลี่คลายลง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น นโยบายลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองสำหรับผู้ซื้อที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท จะทำให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นและกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงครึ่งปีหลัง
ขณะที่ความต้องการที่อยู่อาศัยในกลุ่มลูกค้าต่างชาติคาดว่าจะกลับมาด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะชาวจีน ที่มองหาบ้านหลังที่สองในประเทศที่มีความปลอดภัยและสาธารณสุขที่ดี ทำให้ทั่วโลกเห็นว่าประเทศไทยรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม สำหรับลูกค้าชาวจีนยังไม่มีแนวโน้มว่าจะยกเลิกการจองโครงการของบริษัทแต่อย่างใด เพียงแต่รอโอกาสเข้ามายังประเทศไทย เมื่อมีการเปิดประเทศอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าการฟื้นฟูของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 จะเป็นไปอย่างชะลอตัว ดังนั้น บริษัทจึงมุ่งใช้กลยุทธ์เร่งเพิ่มรายได้และกระแสเงินสดต่อไป ที่ผ่านมา บริษัทได้เร่งระบายสต็อกโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ อาทิโครงการ The Lofts Asoke, The Diplomat 39, The Diplomat Sathorn, The River และ Unixx เพื่อเพิ่มกระแสเงินสดให้มีสถานะมั่นคงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมี The Lofts Silom ซึ่งเป็นโครงการเพิ่งสร้างแล้วเสร็จมีลูกค้าเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ และทยอยเข้ามาอยู่อาศัย และยังคงมุ่งเน้นการขายไปที่โครงการ The Estelle Phrom Phong, TAIT12, The Lofts Ratchathewi ขณะที่ตัวเลขยอดขาย (พรีเซล) ครึ่งปีแรกอยู่ที่ 1,329 ล้านบาท
สำหรับทิศทางธุรกิจในครึ่งปีหลัง บริษัทจะเพิ่มกลยุทธ์เจาะกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ที่อาศัยอยู่ในประเทศ พร้อมปรับดีไซน์ ภายใต้แนวคิด “Design for Living” เพิ่มฟังก์ชั่นพื้นที่ใช้สอยที่หลากหลาย นำนวัตกรรมด้านการตลาดมาใช้ โดยเฉพาะช่องทาง O2O (Online to Offline) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ลูกค้าสามารถเยี่ยมชมโครงการแบบเสมือนจริง(Virtual Tour) ซึ่งจะช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ เชื่อว่าการลงทุนในอสังหาฯ ระยะยาวจะยังคงเป็นที่ต้องการ โดยเฉพาะกรณีซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง มรดกหรือทรัพย์สินส่วนตัว โดยบริษัทจะมุ่งพัฒนานวัตกรรม ผนวกเข้ากับโครงการให้สอดคล้องกับความต้องการและไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยแบบลักซ์ชัวรี่ของผู้บริโภค
ส่วนแผนการดำเนินการโครงการใหม่จะเป็นไปอย่างรอบคอบตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา บริษัทเลื่อนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ออกไป จากเดิมวางแผนการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ใหม่ 1 โครงการ มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท บนถนนสุขุมวิท 38 เนื่องจากปัจจัยแวดล้อมในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยที่ยังไม่เอื้อต่อการลงทุน โดยบริษัทมีการปรับลดการลงทุน เพื่อรอจังหวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภค
ด้านธุรกิจ Recurring Income บริษัทเตรียมเปิดตัวธุรกิจโรงแรม KITCH HOTEL ในช่วงปลายปี 2563 ด้วยคอนเซ็ปต์ใหม่ “Never Hungry Concept” ภายใต้แนวความคิด “เปิดบ้านต้อนรับแก็งค์เพื่อน” โดยจะเริ่มเปิดโซนร้านอาหารก่อนในเฟสแรก เน้นเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวในประเทศ และในเฟส 2 เมื่อมีการเปิดประเทศ บริษัทจะเน้นเจาะตลาดกลุ่มชาวจีนและเอเชียที่สนใจอาหารและวัฒนธรรมท้องถิ่นของไทย
ส่วนธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ( Food & Beverage ) ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการวางกลยุทธ์ใหม่ของร้านอาหารบ้านหญิง โดยเน้นราคาที่จับต้องได้ ความสะดวกสบายในการใช้บริการ และรูปแบบไลฟ์สไตล์ New Normal ของผู้บริโภค
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ารายได้ในปี 2563 จะเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อยู่ที่ 2,500 – 3,000 ล้านบาท