กำไรในไตรมาส 2 เป็นจุดต่ำสุดแล้วหรือยัง?
ช่วงเวลานี้บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่เริ่มประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาแล้ว ซึ่งปีนี้หายธุรกิจต้องเผชิญแรงบีบคั้นจากวิกฤติโควิด-19 อย่างมาก ทำให้ต้องหยุดกิจการชั่วคราว ชะลอตัว ซึ่งภาพรวมกำไรของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์หดตัวถึง 47% เทียบกับปีก่อนหน้า
ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่ 2 ได้ประกาศออกมาเกือบครบทั้งหมดแล้วเมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา โดยบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมดมีกำไรรวมกันอยู่ที่ 116 พันล้านบาท แม้จะเพิ่มขึ้น 32% จากไตรมาส 1 แต่ยังคงเป็นการหดตัวถึง 47% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว สำหรับในภาพกำไรสุทธิครึ่งปีแรกรวมอยู่ที่ 206 พันล้านบาท ลดลง 58% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
กลุ่มที่ผลประกอบการพลิกจากกำไรเป็นขาดทุน ได้แก่ กลุ่มขนส่งทางอากาศ และกลุ่มธุรกิจโรงแรมและบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการระบาดของไวรัส COVID-19 และการระงับการเดินทางระหว่างประเทศ ส่วนกลุ่มที่ยังสามารถประคองผลประกอบการให้เป็นกำไรได้
แต่กำไรก็หดตัวลงกว่าครึ่ง ได้แก่ กลุ่มก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มพลังงาน กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ กลุ่มพาณิชย์ และกลุ่มธนาคาร ในขณะที่ยังมีบริษัทในบางกลุ่มธุรกิจที่ยังสามารถมีกำไรเติบโตได้ในไตรมาสนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับผลบวกหรือไม่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาด ได้แก่ กลุ่มธุรกิจเกษตรและอาหาร กลุ่มเงินทุนหลักทรัพย์ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มธุรกิจประกัน เป็นต้น ในขณะที่กลุ่มสื่อสารได้รับผลกระทบเชิงลบทำให้กำไรลดลงเล็กน้อย
กลุ่มที่กำไรออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด และแนวโน้มน่าจะยังดีต่อเนื่อง นั่นคือ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีกำไรเติบโต 47% จากปีที่แล้ว โดยได้รับผลกระทบเชิงบวกจากการทำงานที่บ้าน ที่ทำให้ความต้องการชิ้นส่วนในกลุ่ม Data center เพิ่มขึ้นมากและต่อเนื่อง โดยในไตรมาสที่ 2 นี้น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ เนื่องจากในไตรมาส 3 และ 4 เริ่มมีความต้องการชิ้นส่วน Semiconductor และชิปในยานยนต์เพิ่มขึ้นหลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวกลับมา นอกจากนี้ บางบริษัทที่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนในสินค้าที่เกี่ยวข้องกับโทรคมนาคม ยังได้รับผลบวกจากการเข้ามาของเทคโนโลยี 5G ที่ผู้บริโภคจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่อีกด้วย
กลุ่มธุรกิจอาหารและเกษตรในไตรมาสที่ 2 มีกำไรเติบโต 105% โดยธุรกิจอาหารได้รับผลบวกจากการที่ราคาเนื้อสัตว์ปรับตัวขึ้น แต่ธุรกิจที่ได้รับผลบวกอย่างมากและกำไรเติบโตมหาศาลในไตรมาสนี้คือ กลุ่มธุรกิจเกษตรที่เกี่ยวกับยาง ที่มีบริษัทลูกผลิตและจำหน่ายถุงมือยาง ซึ่งเป็นสินค้าจำเป็นที่ขาดแคลนในช่วงนี้ บริษัทมีคำสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมากจากต่างประเทศ ทำให้ราคาขายเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นมาก ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้นเล็กน้อย กำไรจึงเติบโตก้าวกระโดด และมีแนวโน้มที่กำไรจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปถึงปีหน้า จากราคาขายถุงมือที่ยังเพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจยางต้นน้ำและกลางน้ำ มีแนวโน้มฟื้นตัวจากความต้องการยางรถยนต์ในประเทศจีนที่กลับมาเพิ่มขึ้นหลังจีนคลาย Lock Down
กลุ่มธุรกิจเงินทุนหลักทรัพย์ ยังมีการเติบโต 9% จากปีที่แล้ว จากสินเชื่อที่ยังเติบโตตามการขยายสาขา การควบคุมค่าใช้จ่าย และในช่วงครึ่งปีหลัง ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อ จากความต้องการสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล แต่อาจมีข้อควรระวังเรื่องค่าใช้จ่ายสำรองที่อาจเพิ่มขึ้นด้วยหากคุณภาพสินทรัพย์ถดถอยหลังภายหลังหมดระยะเวลาการช่วยเหลือลูกหนี้ ส่วนธุรกิจประกัน กำไรเติบโตประมาณ 10% เช่นกัน จากการขายประกันโควิด 19 และยอดเคลมความสูญเสียน้อยลง เนื่องจากอุบัติเหตุและการเจ็บป่วยลดลงมากในช่วงที่คนลดการเดินทางและสวมหน้ากากอนามัย
ส่วนกลุ่มสื่อสารนั้น ในไตรมาสที่ 2 ได้รับผลกระทบเชิงลบจากยอดเติมเงินที่ลดลง ทั้งมาจากการให้บริการโทรฟรีเพื่อช่วยเหลือประชาชนของกสทช. การปิดศูนย์บริการในห้าง และการหายไปของนักท่องเที่ยว แต่จากการควบคุมค่าใช้จ่ายของแต่ละบริษัท ทำให้กำไรสุทธิออกมาดีกว่าคาด ในครึ่งปีหลัง คาดว่าผลประกอบการจะค่อยๆ ฟื้นตัว จากการใช้งานที่เริ่มกลับสู่ภาวะปรกติ และมีแนวโน้มการใช้งาน Data เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการขยายธุรกิจอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง
ส่วนกลุ่มธุรกิจที่ผลประกอบการยังคงไม่ดีและยังไม่เห็นสัญญาณฟื้นตัว ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่กำไรหดตัวลง 40% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จากการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญจำนวนมาก และน่าจะยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องในไตรมาสที่เหลือของปี หลังจากหมดระยะเวลาผ่อนผันการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ ในขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง หากมีการลดดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง
ผลประกอบการที่ออกมานั้น น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ ธุรกิจต่างๆ น่าจะเริ่มทยอยฟื้นตัวในไตรมาส 3 และ 4 ตามแต่ละประเภทธุรกิจ และสำหรับภาพรวมทั้งปี นักวิเคราะห์ได้มีการปรับคาดการณ์กำไรสุทธิของตลาดลงมาอยู่ที่ 60 บาทต่อหุ้นในปีนี้ ก่อนที่จะฟื้นตัวเป็น 78 บาทต่อหุ้นในปี 2021 ซึ่ง ณ ระดับ SET index บริเวณ 1300 จุด คิดเป็นค่าพีอีของตลาด 21.7 เท่าในปีนี้ และ 16.7 เท่าในปีหน้า ซึ่งยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูง ดังนั้น นักลงทุนจึงควรลงทุนด้วยความระมัดระวัง โดยการคัดเลือกหุ้นพื้นฐานดี งบการเงินแข็งแกร่ง และแนวโน้มกำไรยังเติบโต
SOURCE : www.bangkokbiznews.com