เหลือเวลาอีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ แน่นอนว่าผลการเลือกตั้งครั้งนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก เพราะสหรัฐถือเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลก ทุกมาตรการที่ออกมาย่อมส่งผลต่อทุกสินทรัพย์การลงทุนทั่วโลกด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามในระหว่างนี้ ตลาดการลงทุนจะเต็มไปด้วยความผันผวน ตามคะแนนนิยมของผู้สมัครชิงชัยในตำแหน่งดังกล่าว ทั้ง “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐคนปัจจุบัน และ “โจ ไบเดน” ในฐานะผู้ท้าชิง ซึ่งการดีเบตในรอบแรก แม้จะไร้ซึ่งวิสัยทัศน์เชิงนโยบายที่ชัดเจน แต่ดูเหมือนตลาดจะเทคะแนนให้กับ ไบเดน สะท้อนผ่านคะแนนนิยมในตัว ไบเดน ที่ทิ้งห่าง ทรัมป์ มากขึ้น
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ประเด็นการเลือกตั้งสหรัฐซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 3 พ.ย. นี้ จะส่งผลให้การลงทุนค่อนข้างผันผวนในช่วงก่อนที่ถึงวันเลือกตั้ง และอาจจะทำให้การซื้อขายโดยภาพรวมชะลอตัวลง เพราะเกิดความไม่แน่นอนเชิงนโยบาย
กรณี ไบเดน ชนะการเลือกตั้ง สิ่งที่จะกระทบต่อตลาดหุ้นไทยชัดเจนน่าจะแบ่งเป็น 2 มิติ คือ กระแสเงินลงทุนต่างชาติ (Fund flow) ซึ่งมีโอกาสจะไหลออกจากสหรัฐ และน่าจะไหลกลับมาในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging markets) ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย
“นักลงทุนต่างชาติมีโอกาสจะกลับมาเป็นฝ่ายซื้อสุทธิ หลังจากที่ขายอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะเห็นเม็ดเงินไหลเข้ามามากนัก ปัจจุบันหุ้นไทยอยู่ในจุดในที่แพงแล้ว และก็สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ดี แต่ปัญหาสำคัญต่อภาพในระยะยาวคือไทยยังมีหุ้นเทคโนโลยีน้อย เพราะฉะนั้นคงต้องดูว่าจะมีอุตสาหกรรมใดบ้างในประเทศที่พอจะเติบโตไปกับเศรษฐกิจยุคใหม่ อาทิเช่น กลุ่มอาหาร พลังงานทางเลือก อิเล็กทรอนิกส์ และการแพทย์”
อีกมิติหนึ่ง คือ เรื่องของสงครามการค้า หาก โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง เชื่อว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะยังคงดำเนินต่อไป แต่หากเป็น โจ ไบเดน เชื่อว่าสงครามการค้าจะอ่อนลงไปบ้าง แต่ประเด็นสำคัญที่จะทำให้ตลาดหุ้นไทยไม่ได้รับปัจจัยบวก คือ การที่พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งสามารถชนะการเลือกตั้งและครองทั้งสองสภาของสหรัฐ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐมีเสถียรภาพมากขึ้น และเพิ่มความน่าสนใจต่อการลงทุน
นอกจากนี้ นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอาจจะตึงตัวขึ้น หาก ไบเดน ชนะการเลือกตั้ง เนื่องจากไบเดนวางแผนที่จะปรับเพิ่มขาดดุลการคลังประมาณ 7 ล้านล้านดอลลาร์ ภายใน 10 ปี เพื่อสนับสนุนการใช้จ่ายของรัฐในส่วนของสวัสดิการสังคมและโครงการสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ ทั้งนี้ ยังวางแผนจัดหาเงินทุนสนับสนุนการเพิ่มขาดดุลการคลังด้วยการเพิ่มรายได้ภาษีเป็น 4 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งจะรวมถึงภาษีธุรกิจและภาษีการลงทุน
โดยสรุปแล้ว ภายในอีก 3 เดือนข้างหน้า สิ่งที่จะเห็นคือ ปัจจัยที่นอกเหนือจากเรื่องเศรษฐกิจเริ่มมีน้ำหนักมากขึ้น โดยการลดดอกเบี้ย การอัดฉีดเงิน สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นไปหมดแล้ว ความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจึงไปตกที่นโยบายการคลัง ซึ่งก็จะขึ้นกับการเมืองด้วย เพราะฉะนั้นภาพรวมในไตรมาส 4 ปี น่าจะเห็นปัจจัยเหล่านี้เข้ามารบกวนการลงทุนต่อเนื่อง
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย กล่าวว่า กรณีที่ ไบเดนชนะการเลือกตั้ง จะเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในแง่ของการค้า ขณะที่ทิศทางการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ จะดำเนินไปต่อเนื่อง ซึ่งจะหนุนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ขึ้นจากภาพรวมการค้าโลกที่ดีขึ้น โดยคาดว่าตลาดหุ้นสหรัฐ จะมีดัชนีต่ำกว่าตลาดเกิดใหม่(EMs) จากปัจจัยเสี่ยงด้านการปรับเพิ่มอัตราภาษีนิติบุคคลในประเทศ
อย่างไรก็ตามอาจมีปัจจัยที่เข้ามาชดเชยหากพรรคเดโมแครตไม่สามารถครองที่นั่งส่วนใหญ่ในสภาสูงได้ เมื่อดูไปตามกลุ่มอุตสาหกรรม เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ กลุ่มโรงไฟฟ้า พลังงานสะอาด และอื่นๆ ที่จะได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ถูกลง
นอกจากนี้ การที่สหรัฐ จะเปิดโต๊ะเจรจากับประเทศคู่ค้าอย่างอิหร่านและเวเนซุเอลากันใหม่ อาจส่งผลบวกต่อหุ้นบมจ.ทิปโก้แอสฟัลท์(TASCO) และ ทีมบริหารของไบเดนที่ทำให้ข้อพิพาทระหว่างสหรัฐ-จีน ผ่อนคลายลง และอาจนำไปสู่การปรับลดภาษีลงได้ ซึ่งทำให้ภาพรวมของการค้าโลกปรับดีขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีกับตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และอุตสาหกรรมเดินเรือ โดยมีหุ้นที่ได้ประโยชน์ คือ บมจ.น้ำมันพืชไทย(TVO) และ บมจ.พรีเชียส ชิพปิ้ง(PSL)
ส่วนกรณีที่ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง เชื่อว่าจะดำเนินนโยบาย American First" ที่เข้มข้นขึ้น พ่วงกับความไม่แน่นอนด้านนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษีการค้าจีนและยุโรป ที่อาจทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์ปรับสูงขึ้น ในด้านภาษีคาดว่าจะยังอยู่ระดับต่ำ ซึ่งเป็นผลดีกับสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์ และกระแสเงินที่ไหลกลับเข้ากลุ่มเทคโนโลยี
สำหรับอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ คาดว่า ทรัมป์ จะยังคงท่าทีในการเป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซอันดับหนึ่ง ด้วยเป้าหมายในการหนุนราคาน้ำมันให้สูงขึ้น
"กรณีนี้เราคาดว่าจะมีปัจจัยบวกเกิดขึ้นกับ กลุ่มพลังงาน(บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP) หุ้นปันผล กลุ่ม ICT กองรีท และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมไปถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์จากอัตราภาษีต่ำ เช่น อินโดรามา เวนเจอร์ส(IVL)"
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า กรณีการเลือกตั้งสหรัฐกับผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย คงต้องพิจารณามากกว่าแค่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง โดยต้องรอดูในส่วนของสภาสูงและสภาล่างว่าเสียงส่วนมากจะตกอยู่กับพรรคใด ในเบื้องต้นค่อนข้างมั่นใจว่าสภาล่างน่าจะเป็นของพรรคเดโมแครตเช่นเดิม เนื่องจากส่วนนี้จะอิงจากคะแนนความนิยม (popular vote) ซึ่งค่อนข้างจะเชื่อถือได้ตามผลโพลที่บอกว่าเดโมแครตมีความนิยมราว 80%
กรณี ไบเดน ชนะเลือกตั้ง พรรคเดโมแครตครองทั้งสภาสูงและสภาล่าง จะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยและตลาดเกิดใหม่ เพราะนโยบายของ ไบเดน ส่งผลลบกับคนรายได้สูงและตลาดหุ้น โดยเฉพาะหากมีการขึ้นภาษีนิติบุคคล จะทำให้เงินลงทุนไหลออกจากสหรัฐเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่รวมถึงหุ้นไทยมากขึ้น แต่กลุ่มที่อาจจะถูกกระทบได้คือ พลังงานดั้งเดิม และถ่านหิน เนื่องจาก ไบเดน สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด
กรณีสุดท้าย คือ โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง และสภาสูงครองโดยพรรครีพับลิกัน ส่วนสภาล่างครองโดยพรรคเดโมแครต จะทำให้สงครามการค้ากับจีนดำเนินต่อไป และด้วยนโยบายที่เอื้อบริษัทในสหรัฐจะทำให้ตลาดหุ้นตลาดเกิดใหม่ปรับตัวแย่กว่าตลาดพัฒนาแล้ว ขณะสกุลเงินในกลุ่มตลาดเกิดใหม่จะอ่อนค่า และกดดันหุ้นไทยโดยภาพรวม ยกเว้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่น่าจะได้รับประโยชน์
SOURCE : www.bangkokbiznews.com