ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติให้ปรับระดับของพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พร้อมดำเนินมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ตามระดับของพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นไป

            โดยมีการอนุญาตให้เปิดกิจการและกิจกรรมเพิ่มเติมตามความพร้อมและความจำเป็น เพื่อให้ประชาชนสามารถดำเนินชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด ทั้งนี้ยังคงมาตรการ Work From Home และยังห้ามออกนอกเคหะสถาน (เคอร์ฟิว) ตั้งแต่เวลา 21.00 - 04.00 น.ของวันรุ่งขึ้น อย่างน้อย 14 วัน พร้อมยกระดับมาตรการควบคุมโรคส่วนบุคคล และมาตรการองค์กร เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยหนักและเสียชีวิต ในจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด

           

 

1. การเดินทางข้ามจังหวัดจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดได้

ขอความร่วมมือหลีกเลี่ยงการเดินทาง หรือเดินทางเมื่อมีเหตุจำเป็นเท่านั้น

สื่อสารให้ผู้ที่มีประวัติเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรือผู้ติดเชื้อให้เดินทางตามโครงการรับคนกลับบ้าน/รับผู้ป่วยกลับภูมิลำเนา เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อระหว่างและหลังการเดินทาง

ระบบขนส่งสาธารณะจำกัดจำนวนผู้โดยสาร ไม่เกิน 75 % สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา
ห้ามรับประทานอาหาร

มาตรการสำหรับรถโดยสาร หรือรถตู้ ระยะทางไกลควรแวะพักทุก 2- 3 ชั่วโมง เพื่อระบายอากาศ

การเดินทางไปทำงานของแรงงาน ให้ใช้ระบบ seal route ตามมาตรการ Bubble and Seal

การกำกับติดตามมาตรการโดย ผู้ประกอบการ กระทรวงคมนาคม และ สำนักงานการบินพลเรือน

 

2. การเปิดบริการของร้านอาหาร

ร้านอาหารที่อยู่นอกอาคาร หรือในอาคาร แต่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ โล่ง อากาศถ่ายเทดี ให้นั่งรับประทานได้ 75 % และร้านอาหารที่เป็นห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ ให้นั่งรับประทานได้ 50 % โดยผู้ประกอบการต้องดำเนินตามมาตรการอย่างเคร่งครัด และมีการกำกับดูแลด้วย

 

3.สำหรับกิจการห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ กิจการ/กิจกรรมสามารถเปิดดำเนินการได้ทุกแผนก ภายใต้มาตรการฯ

ยกเว้น กิจการ/กิจกรรมที่มีเงื่อนไข ได้แก่

ร้านเสริมสวย ร้านตัดผมหรือแต่งผม เปิดได้เฉพาะตัดผมเท่านั้น ไม่เกิน 1 ชั่วโมง, ร้านนวด เปิดได้เฉพาะนวดเท้า

คลินิกเสริมความงาม เปิดจำหน่ายสินค้าเท่านั้น (อาจมีการนัดหมายล่วงหน้า)

ร้านอาหาร เปิดได้ตามเงื่อนไขของมาตรการร้านอาหารมีเครื่องปรับอากาศ

 

ส่วนกิจการ-กิจกรรมที่ยังไม่เปิดบริการ ได้แก่ สถาบันกวดวิชา, โรงภาพยนตร์, สปา, สวนสนุก, สวนน้ำ, ฟิตเนส, ห้องออกกำลังกาย, สระว่ายน้ำ, ห้องจัดประชุม-จัดเลื้ยง โดยผู้ประกอบการต้องดำเนินตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัดกำกับติดตามมาตรการ โดยสภาหอการค้าไทย และ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานคร เปิดถึง เวลา 20.00 น.

4. การเปิดกิจการ-กิจกรรมบางประเภท ได้แก่ ร้านเสริมสวย ร้านนวด เฉพาะนวดเท้า

ผู้ประกอบการต้องดำเนินตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด การกำกับติดตามมาตรการ โดยผู้ประกอบการ และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานคร

 

5.การใช้อาคารของสถานศึกษา

สำหรับสถานศึกษายังไม่เปิดเรียน แต่สามารถใช้อาคารของสถานศึกษาได้ โดยผ่านความเห็นชอบของผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในพื้นที่ ร่วมกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานคร และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงสาธารณสุขกำหนด

 

6.สนามกีฬา และสวนสาธารณะ ประเภทกลางแจ้ง หรือสนามกีฬาในร่ม ที่เป็นที่โล่ง อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่มีระบบปรับอากาศ สามารถใช้ในการเล่น ซ้อม หรือแข่งขันกีฬาได้แบบไม่มีผู้ชม

จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม และไม่ให้มีการรวมกลุ่มกัน โดยผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานคร

สามารถเปิดใช้สนามกีฬาทุกประเภท สำหรับการฝึกซ้อมของนักกีฬาทีมชาติไทย แบบไม่มีผู้ชม โดยแจ้งให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานคร ทราบล่วงหน้าก่อนการเริ่มใช้

ทั้งนี้ ผู้จัดการแข่งขัน ต้องดำเนินตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด การกำกับติดตามมาตรการ โดยผู้จัดการแข่งขัน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทยและคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานคร เปิดถึง เวลา 20.00 น. โดยมาตรการทั้งหมดจะเริ่มใช้ในวันที่ 1 ก.ย.2564

            ทั้งนี้ ศปก.ศบค. เน้นย้ำว่า มาตรการนี้เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.นี้ สำหรับผู้ประกอบการที่มีความพร้อมปฏิบัติตามมาตรการ ถ้ายังไม่พร้อม ก็ศึกษาข้อปฏิบัติก่อน โดยมีสมาคมภัตตาคารไทยเป็นพี่เลี้ยง เมื่อพร้อมจึงดำเนินการได้ ซึ่งจะมีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด

            ส่วนวัคซีนในระยะต่อไปรัฐบาลจะนำเข้ามาได้อย่างต่อเนื่อง และจะเร่งระดมฉีดวัคซีนให้ได้เร็วที่สุด โดยพิจารณาถึงอาชีพเสี่ยงเพิ่มเติมด้วย ส่วน ATK ได้รับการเร่งรัดให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น โดยให้ความเร่งด่วนในพื้นที่เสี่ยง ซึ่ง 8.5 ล้านชุด ได้ลงนามแล้วในวันนี้